SCGP Newsroom

INNOVATION AS A REAL SOLUTION COMES FROM ACTIONS

INNOVATION AS A REAL SOLUTION COMES FROM ACTIONS   Innovations are not just new things or novel technologies. In essence, an innovation must truly serve the needs of customers or consumers. Innovations are usually backed by continuously-improving technologies and marketing support. Indeed, it requires both experiments and real actions to create such innovations, which can promptly stimulate purchase decisions.   INNOVATIONS RESULT FROM READINESS TO EMBRACE “CHANGES”   One classic innovation in the world surrounds Coca-Cola drink. A mixture of kola nuts and soda, this carbonated beverage has a unique and popular taste. In 1915, this drink also got its iconic “contour bottle” that has impressed consumers for more than 100 years now. Such distinctive packaging is not just memorable but also highly functional, because customers can grab or hold it conveniently. Over time, Coca-Cola may refresh its bottles a bit, but the packaging still retains much of its iconic shape. Given its huge popularity today, this contour bottle has proven that an innovation is not necessarily “completely new or sensational”. It can be an old product with slight upgrade or added value, which enables the product to remain consumers’ favorite. Such product is called Sustaining Innovation, which usually proves popular and competitive in different periods of time.   Breakthrough Innovation refers to a new product, which has “wow” and revolutionary effects. Enabled by technologies, examples of breakthrough innovations are MP3 players that replaced cassettes, iPhone that significantly spurred the growth of smartphones, and Netflix’s streaming service that has eaten into CD/DVD, TV, and cinema markets. As these innovative products/services have won the hearts of people all over the world, their functionality is undisputable. All big enterprises have been developing both Sustaining Innovation and breakthrough Innovation to ensure they can stay on as market leaders and cope well with new changes. Unprecedented things, after all, may erupt anytime. Look at how TikTok, despite being a newcomer, has gradually wooed people away from massively-popular Facebook and YouTube.   DEVELOPING INNOVATIONS FOR CUSTOMERS TO EMBRACE & PAY FOR   A new product that cannot solve customers’ pain points or serve their needs will not be sustainable. It is just an invention, not an innovation. Innovators normally spend time studying consumers to gain insights and develop a solution for them. Canva, for instance, is an innovation. This application enables its users to create presentations like a real pro by using templates. Canva is very useful because these days people need to present themselves professionally on social media. Mr. Steve Jobs’ mouses are also innovative. Thanks to his ideas, their design delivers greater functionality and paves the way for their popularization.   Inventions that become innovations must have commercial potential. After their launch in the market, they must be good enough for customers to embrace and spend their money on.It is by no means easy to guess what things consumers will like. But with consumer insights, it should be possible to commercialize an invention. Once it started catching on in the market, you will then realize that you have already developed a much-awaited “innovation.”    

ส่องโมเดลธุรกิจแบรนด์ “เฟสท์ by SCGP” บรรจุภัณฑ์อาหารรักษ์โลก พร้อมส่งต่อความสะดวกสบาย เพื่อความยั่งยืน

ปัจจุบันนี้แพลตฟอร์มการส่งอาหาร (Food Delivery) เกิดขึ้นมากมาย และได้รับความนิยมสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในช่วงก่อนที่หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทยจะเกิดวิกฤตการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ซึ่งในช่วงนั้นต้องยอมรับเลยว่าธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรีเติบโตได้แบบก้าวกระโดด และสินค้าประเภทบรรจุภัณฑ์อาหารก็เติบโตด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามภายหลังจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 เริ่มลดลงไปอย่างชัดเจน แต่เทรนด์ธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรีหรือการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์อาหารก็ยังไม่หมดไป เพราะพฤติกรรมของการรับประทานอาหารที่บ้าน รวมไปถึงไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย SCGP หรือ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่เป็นผู้นำด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาค มีหนึ่งในธุรกิจหลักที่มีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ บรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัย ภายใต้แบรนด์ เฟสท์ (Fest) ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากความใส่ใจสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค จึงได้คิดค้นและพัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารที่สะอาด ปลอดภัย สามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรง เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการใช้งานบรรจุภัณฑ์ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจอาหารและธุรกิจบริการอาหารเดลิเวอรี และเทรนด์สำคัญของโลกในปัจจุบันที่ตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อม สำหรับบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยเฟสท์นั้น มีให้เลือกใช้หลากหลายประเภท ทั้งวัสดุ รูปทรง ขนาด และดีไซน์ ไม่ว่าจะต้องการบรรจุภัณฑ์สำหรับเมนูไหน ก็ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ ในปัจจุบันมีสินค้า 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ เฟสท์ ช้อยส์, เฟสท์ ไบโอ, เฟสท์ เดลี่ และเฟสท์ ชิลล์ โดยบรรจุภัณฑ์อาหารทั้ง 4 กลุ่มจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เพื่อให้เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับการใช้งาน นอกจากนี้เฟสท์ยังมีบรรจุภัณฑ์ที่พัฒนาพิเศษสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ถาดกระดาษเนื้อสดแช่เย็นและถาดอาหารแช่เย็นพร้อมทาน ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อความยั่งยืนที่เฟสท์พยายามพัฒนาบรรจุภัณฑ์เยื่อและกระดาษให้มีความแข็งแรง ทนทานมากขึ้น จนสามารถใช้งานเทียบเท่ากับบรรจุภัณฑ์ชนิดอื่น ๆ ได้ โอกาสและเทรนด์การเติบโต เทรนด์บรรจุภัณฑ์ที่น่าจับตามองในปี 2566 คือ การใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิล หรือย่อยสลายได้และวัสดุมีน้ำหนักเบา การลดขนาดบรรจุภัณฑ์เพื่อลดการใช้วัสดุสิ้นเปลืองและช่วยลดการเน่าเสียของสินค้าเพื่อให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่ามากที่สุด การออกแบบเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ บรรจุภัณฑ์ชีวภาพย่อยสลายได้ทางชีวภาพฉลากแบบล้างออกได้ง่าย ซึ่งนั้นก็หมายความว่าผลิตภัณฑ์จากเฟสท์กำลังตอบโจทย์ และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตามเทรนด์ แผนกลยุทธ์หลัก 2 ประการ ไม่เพียงแค่ ผลิตภัณฑ์เฟสท์ จะตอบโจทย์เทรนด์แล้ว เฟสท์ยังได้มีแผนพัฒนาธุรกิจด้วย 2 กลยุทธ์หลักที่ถือเป็นหัวใจสำคัญ ได้แก่ เน้นการพัฒนาบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความหลากหลายและตอบสนองความต้องการที่ใช้กับฟู้ดเดลิเวอรี โดยเน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ Printing Solutions เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบรรจุภัณฑ์อาหารและตอบรับกับกระแสการรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมไปถึงยังได้มุ่งเข้าสู่ตลาด B2B โดยใช้ความเชี่ยวชาญในการออกแบบและเทคโนโลยีการผลิต ที่ตอบรับกับเทรนด์บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน (Sustainable Packaging) ซึ่งสามารถเข้ากับกระบวนการผลิต การใช้งาน และตอบโจทย์การใช้งานได้ตามความต้องการของลูกค้าอย่างครบถ้วน ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารและกลุ่มผู้ผลิตอาหาร กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารได้มีการนำเสนอโซลูชันเพื่อเป็นไอเดียให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารได้เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม สามารถสร้างเอกลักษณ์ด้วยลวดลายพิมพ์เฉพาะของทางร้าน เพื่อสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นและสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้า โดย Fest Solutions มีบริการให้คำปรึกษาด้านการออกแบบ รวมไปถึงการผลิตบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งเป็นผู้นำเทรนด์บรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่ในตลาด อาทิ เซ็ตปิ่นโต 3 ชั้น กล่องอาหารเมนูเซ็ตพร้อมทาน เบเกอรี่บ็อกซ์เซ็ต ซึ่งในปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 300 ราย สำหรับลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตอาหาร เฟสท์มีทีมวิจัยและพัฒนาร่วมกับลูกค้าโดยเฉพาะ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ วางแผน วิจัยและพัฒนาร่วมกันกับลูกค้า รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ ทำให้ได้บรรจุภัณฑ์ที่เข้ากับกระบวนการผลิตของลูกค้าและตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบถ้วน 2 ตัวอย่างการส่งมอบโซลูชันที่เกิดขึ้นระหว่างเฟสท์กับลูกค้ากลุ่ม B2B ซึ่งมีแผนที่จะนำออกสู่ตลาดในปี 2566 นั้น ได้แก่ ถาดกระดาษเนื้อสดแช่เย็น (Fresh Pak) บรรจุภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อโลกที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยเฟสท์ได้ ร่วมพัฒนากับแบรนด์ S-Pure ในเครือเบทาโกร คิดค้นและพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์การใช้งาน และเพิ่มปริมาณการใช้ Renewable Material ได้อย่างน้อย 80% สามารถใช้งานได้ในอุณหภูมิ 3-5 องศาเซลเซียส และยังคงความแข็งแรง ไม่ยุบยวบแม้จะอยู่ในสภาวะเปียกชื้น  อีกทั้งยังคงความแข็งแรง และคุณสมบัติในการเก็บรักษาความสดของเนื้อสดได้ตามมาตรฐานของลูกค้า  ผลิตจากเยื่อยูคาลิปตัส เป็นไม้เศรษฐกิจที่เติบโตเร็ว สามารถปลูกหมุนเวียนได้ และยังสามารถรีไซเคิลได้อีกด้วย ถือเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนของโลก โดยที่ยังคำนึงถึงการใช้งานของผู้ประกอบการและผู้บริโภค ซึ่งเป็นรายแรกที่ใช้บรรจุภัณฑ์ถาดกระดาษสำหรับเนื้อสด นอกจากจะได้สุขภาพดีจากการรับประทานผลิตภัณฑ์คุณภาพจาก S-Pure แล้ว ยังได้ร่วมรักษ์โลกไปพร้อมกันด้วย โดยบรรจุภัณฑ์ถาดกระดาษเนื้อสดแช่เย็น Fresh Pak  มีวางจำหน่ายที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์คือ Redi Pak ถาดอาหารแช่เย็นพร้อมทาน นวัตกรรมที่จะช่วยรักษาความสดและรสชาติของอาหารรักษ์โลกไปอีกขั้นกับ Fest ด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์กลุ่มอาหารแช่เย็นพร้อมทาน ช่วยรักษาความสดและรสชาติของอาหารได้ดี โดยเปลี่ยนวัสดุหลัก 90% เป็นเยื่อยูคาลิปตัสที่สามารถย่อยสลายได้ภายใน 60 วัน ดีไซน์สวยงาม เสริมด้วยฟังก์ชันใช้งานง่าย สะดวก ถือได้ไม่ร้อนมือ จากเยื่อยูคาลิปตัสจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์ เคลือบด้วยฟิล์มที่สามารถบรรจุอาหารร้อนสูงสุด 100 องศาเซลเซียส มีการออกแบบโครงสร้างบรรจุภัณฑ์ให้แข็งแรง สามารถใช้กับเครื่องบรรจุอัตโนมัติได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ (Auto-process) โดยยังคงความสามารถในการผลิตได้ดี (Productivity) เหมาะสมกับกระบวนการ Top seal ด้วยฟิล์มเพื่อมองเห็นอาหาร ผ่านการทดสอบในเรื่องความสะอาดปลอดภัยอย่างเข้มงวด สามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรง ถือเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งาน ส่งต่อความสะดวกสบาย ทั้งยังคำนึงถึงผลประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง โดยเฟสท์ได้พัฒนาร่วมกับแบรนด์ Reo’s Deli ซึ่งมีวางจำหน่ายที่ 7-eleven ทั้งนี้ธุรกิจที่สนใจสามารถมาเยี่ยมชมและปรึกษาได้ที่ Fest ภายในงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX – Anuga Asia 2023 Pack & Go Festival (The next era of innovation and sustainability) ในระหว่างวันที่ 23-27 พฤษภาคม 2566 ณ อาคารชาเลนเจอร์ Hall 1 เลขที่บูธ 1-UU67 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่มา : ส่องโมเดลธุรกิจแบรนด์ “เฟสท์ by SCGP” บรรจุภัณฑ์อาหารรักษ์โลก พร้อมส่งต่อความสะดวกสบาย เพื่อความยั่งยืน | WEALTHY THAI

รู้จักหุ้น IPO ตัวใหม่ SCGP ผู้นำวงการบรรจุภัณฑ์อาเซียนที่เน้นเติบโตอย่างยั่งยืน

เมื่อพูดถึง SCC หรือ ปูนซิเมนต์ไทย เชื่อว่าหลายคนจะมีภาพจำว่าเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว รายได้ของ SCC นั้นมาจากธุรกิจหลัก 3 กลุ่มธุรกิจด้วยกัน ได้แก่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ธุรกิจเคมิคอลส์ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (“SCGP”) มีสัดส่วนรายได้คิดเป็นร้อยละ 23 ของ SCC โดยเมื่อดูแนวโน้มการเติบโตของแต่ละกลุ่มธุรกิจ ตั้งแต่ปี 2557 ถึง 2562 จะเห็นว่ากลุ่มธุรกิจแพคเกจจิ้งมีแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจและรายได้ที่น่าสนใจ ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจแพคเกจจิ้งจะดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทลูกของ SCC อย่าง บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง หรือ SCGP ซึ่ง SCGP ก็กำลังจะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมทุนมาใช้ในการขยายกำลังการผลิต และเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ มุ่งสู่การเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ชั้นนำของภูมิภาคอาเซียน ทำความรู้จัก SCGP ว่าที่หุ้น IPO ตัวใหม่ SCGP หรือ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลักในการให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร ประกอบด้วย 2 สายธุรกิจหลัก คือ สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ โดยรายได้จากการขายส่วนใหญ่จะมาจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ เฉลี่ยประมาณร้อยละ 84 จากสัดส่วนรายได้จากการขายทั้งหมด ส่วนอีกประมาณร้อยละ 16 ที่เหลือจะเป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจเยื่อและกระดาษ และหากนับตั้งแต่ปี 2559 ถึง 2562 รายได้จากการขายของ SCGP นั้นก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี จากการที่รายได้จากการขายในธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (Compound Annual Growth Rate) จะเท่ากับ 8.50% ต่อปี โดยในครึ่งปีแรกของปี 2563 รายได้เติบโตร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา เจาะลึกแต่ละธุรกิจของ SCGP ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร สามารถแยกได้เป็น 3 กลุ่มย่อย ได้แก่ บรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ (PPP) เป็นบรรจุภัณฑ์ชั้นในที่สัมผัสกับสินค้าอุปโภคบริโภคโดยตรง มีทั้งบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว และบรรจุภัณฑ์แบบคงรูป โดยสัดส่วนรายได้จากกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมาจากผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว บรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ ซึ่งจะมีทั้งบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกและบรรจุภัณฑ์กล่องพิมพ์สีเพื่อการแสดงสินค้า โดยสัดส่วนรายได้ของกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมาจากบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูก กระดาษบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะมีทั้งกระดาษบรรจุภัณฑ์ และ ผลิตภัณฑ์กระดาษอื่น ๆ โดยสัดส่วนรายได้ของกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมาจากกระดาษบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ SCGP ยังให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในทั้งสามกลุ่ม ซึ่งจะมีศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบครบวงจร “อินสไปร์ สตูดิโอ (Inspired Studio)” คอยช่วยด้านการออกแบบ และการพิมพ์บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และหากดูสัดส่วนรายได้จากการขายของทั้งสามกลุ่ม ธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์จะมีสัดส่วนรายได้จากการขายมากที่สุด รองลงมาจะเป็นธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ และสุดท้ายจะเป็นกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 สัดส่วนรายได้จากการขายของทั้งสามกลุ่มจะเท่ากับ 51%, 25% และ 8% ตามลำดับ ธุรกิจเยื่อและกระดาษ ซึ่งสามารถแบ่งผลิตภัณฑ์ได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ภาชนะบรรจุอาหาร โดย SCGP จะมีแบรนด์ Fest ที่เป็นแบรนด์หลักที่นำเสนอภาชนะบรรจุอาหารที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งแบรนด์ Fest ผลิตภัณฑ์เยื่อและกระดาษ ซึ่งจะมีทั้งกระดาษพิมพ์เขียน และเยื่อประเภทต่าง ๆ โดยสายธุรกิจเยื่อและกระดาษนี้ จะมีสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่มาจากผลิตภัณฑ์เยื่อและกระดาษ นอกจากนี้ SCGP ยังได้เข้าไปลงทุนในบริษัทชั้นนำอื่น ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเสริมจุดแข็งให้แก่ผลิตภัณฑ์ สร้างศักยภาพการเติบโต รวมถึงขยายตลาดไปยังทั่วทวีปเอเชีย โดยได้เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัท เช่น เข้าซื้อหุ้นบริษัท Interpress Printers Sendirian Berhad (IPSB) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจบรรจุภัณฑ์สัมผัสอาหารในประเทศมาเลเซีย เข้าซื้อหุ้นบริษัท Tin Thanh Packing Joint Stock (BATICO) ในประเทศเวียดนาม เพื่อการขยายเข้าสู่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวในประเทศเวียดนาม เข้าซื้อหุ้นบริษัท Fajar Surya Wisesa Tbk. ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์อันดับต้น ๆ ของประเทศอินโดนีเซีย เข้าซื้อหุ้นบริษัท Visy Packaging Thailand ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกด้านบรรจุภัณฑ์แบบคงรูป สำหรับกลุ่มลูกค้าของ SCGP นั้น ปัจจุบันมีฐานลูกค้าจำนวนมาก ตั้งแต่บริษัทชั้นนำระดับประเทศ บรรษัทข้ามชาติ ไปจนถึงผู้ค้าปลีกในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งลูกค้าของ SCGP ส่วนใหญ่จะทำธุรกิจอยู่ในตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาหารและเครื่องดื่ม อีคอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์ ทั้งนี้ รายได้จากการขายจะมาจากลูกค้าที่อยู่ในประเทศไทยเป็นหลัก โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 SCGP มีรายได้จากการขายให้แก่ลูกค้าที่มีที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 52 ส่วนอีกร้อยละ 48 ที่เหลือจะเป็นรายได้จากการขายที่มาจากลูกค้าที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ เช่น ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย ด้านฐานะทางการเงินของ SCGP ในปี 2562 SCGP มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 139,513 ล้านบาท แบ่งเป็นสินทรัพย์หมุนเวียน 35,383 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 104,130 ล้านบาท ด้านหนี้สิน SCGP มีหนี้สินทั้งหมด 76,697 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้สินหมุนเวียน 54,014 ล้านบาท และหนี้สินไม่หมุนเวียน 22,683 ล้านบาท และมีส่วนผู้ถือหุ้นทั้งสิ้น 62,816 ล้านบาท ในขณะที่งวดล่าสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2563 SCGP มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 144,360 ล้านบาท และในส่วนหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 78,946 ล้านบาท และ 65,414 ล้านบาท ตามลำดับ ด้านอัตราส่วนทางการเงิน ในปี 2562 SCGP มีอัตราส่วนสภาพคล่อง 0.7 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 1.2 เท่า ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในปี 2562 อยู่ที่ 0.9 เท่า สำหรับไตรมาส 2 ของปีนี้ อัตราส่วนสภาพคล่องของ SCGP อยู่ที่ 0.6 เท่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 1.1 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อยู่ที่ 0.8 เท่า ด้านผลการดำเนินงานของ SCGP ในปี 2562 SCGP มีรายได้จากการขายรวม 89,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 คิดเป็นร้อยละ 2.1 ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้จากการขายในกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรที่เพิ่มขึ้นมากกว่า โดยมีสาเหตุหลักมาจากการรวมผลการดำเนินงานจากกิจการบริษัท Fajar Surya Wisesa Tbk. และ Visy Packaging Thailand ที่ SCGP ได้เข้าไปควบรวม แม้รายได้จากการขายในกลุ่มธุรกิจเยื่อและกระดาษจะลดลงก็ตาม ขณะที่ครึ่งปีแรกของปีนี้ SCGP มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 45,903 ล้านบาท เติบโตกว่าร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไรขั้นต้นสำหรับปี 2562 จะเท่ากับร้อยละ 19.6 แม้จะลดลงจากปี 2561 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 20.8 เล็กน้อย แต่หากดูตั้งแต่ปี 2559 ถึง 2562 ก็จะเห็นว่า SCGP มีการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็แสดงถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนที่ดี โดยในงวดครึ่งปีแรกของปี 2563 SCGP มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 22.5 ด้านกำไรสำหรับปี ในปี 2562 SCGP มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 5,269 ล้านบาท ลดลงจากปี 2561 ร้อยละ 13.1 ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กำไรสุทธิในปี 2562 ลดลง ก็เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมจาก SCC เพื่อเป็นเงินทุนในการควบรวมกิจการบริษัท Fajar Surya Wisesa Tbk. และการบันทึกการรวมเงินกู้ยืมของบริษัทต่าง ๆ ที่บริษัทควบรวมกิจการมา ส่วนช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ SCGP มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,636 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เปิดจุดเด่น และ ส่องศักยภาพการเติบโตในอนาคต SCGP มีรูปแบบธุรกิจแบบบูรณาการในแนวตั้งจากขั้นต้นจนถึงขั้นปลาย ซึ่งเริ่มตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นต้น การผลิตบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการจัดส่งผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ให้แก่ลูกค้า SCGP มีการขยายฐานการดำเนินงานในภูมิภาคอาเซียนด้วยกลยุทธ์การเติบโตผ่านการควบรวมกิจการ โดยมุ่งเน้นโอกาสที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงสุด และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับรูปแบบธุรกิจเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้ SCGP มีฐานลูกค้าในหลายประเทศและหลายอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นบรรษัทข้ามชาติและบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน ทำให้ SCGP สามารถกระจายความเสี่ยงไปยังหลาย ๆ อุตสาหกรรม ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง SCGP ดำเนินธุรกิจอยู่ในตลาดที่มีการเติบโตด้านธุรกิจบรรจุภัณฑ์ จากเทรนด์การเติบโตของธุรกิจเดลิเวอรี่ และอีคอมเมิร์ซในอาเซียน ซึ่งจะยิ่งช่วยกระตุ้นการใช้แพคเกจจิ้งเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านประชากรศาสตร์และไลฟ์สไตล์ของคนอาเซียน ที่มีทิศทางที่เอื้อให้ใช้แพคเกจจิ้งมากขึ้นอีกด้วย SCGP มีการมุ่งเน้นกระบวนการผลิตโดยยึดหลัก “เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)” ซึ่งก็คือการใช้ทรัพยากร วัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านการนำกลับมาใช้ซ้ำ และการรีไซเคิล ซึ่งก็สอดรับกับเทรนด์ที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มใส่ใจในผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของสังคมมากขึ้น รายละเอียดการ IPO เข้าสู่ตลาดหุ้น สำหรับเป้าหมายหลักในการเข้าระดมทุนผ่านตลาดหุ้นในครั้งนี้ ก็เพื่อต่อยอดธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ผ่านการขยายกำลังการผลิตของ SCGP ให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าทั้งห่วงโซอุปทาน และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อขยายโอกาสการเติบโตอย่างมั่นคง รวมทั้งเพื่อชำระคืนเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ โดย SCGP จะทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,127.6 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 26.5 ของทุนชำระแล้ว และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินจำนวนไม่เกิน 169.1 ล้านหุ้น โดยที่หลังขายหุ้น IPO ไปแล้ว SCC ก็ยังจะคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน SCGP ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของการเสนอขายครั้งนี้ได้จากร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ที่ยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ที่นี่

โอกาสลงทุนยุค New Normal

ถ้าถามว่ามีธุรกิจอะไรบ้างที่ยังเติบโตในช่วงวิกฤต COVID-19? หลายคนคงนึกถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) หรือธุรกิจบริการรับส่งอาหาร (Food Delivery) ซึ่งเห็นชัดว่าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จากเดิมที่เป็นที่นิยมเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่ที่ใช้สมาร์ตโฟน จนกระทั่งการเกิดวิกฤตใหญ่ COVID-19 ทำให้คนทุก Generation จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยการหันมาใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่าง ๆ บนโลกออนไลน์มากขึ้น นอกจากนี้ สินค้าเกี่ยวกับการดูแลสุขอนามัย (Healthcare) ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่หลายคนนึกถึง เพราะจะเห็นว่าผู้คนได้ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความสะอาดเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทเจลล้างมือ แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ และหน้ากากอนามัยที่มีความต้องการใช้พุ่งสูงจนกลายเป็นสินค้าหายากในช่วงเวลาหนึ่ง ยังมีอีกหนึ่งธุรกิจที่เป็นส่วนสำคัญในห่วงโซ่อุปทานและมีศักยภาพเติบโตไปกับอุตสาหกรรมเหล่านี้ นั่นคือ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งกำลังจะมีผู้ผลิตและให้บริการบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนเตรียมจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ‘บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง’ (“SCGP” หรือ “บริษัทฯ”) ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน SCGP เป็นธุรกิจ 1 ใน 3 กลุ่มธุรกิจหลักของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (“SCC”) ซึ่งเมื่อดูผลการดำเนินงานล่าสุดในช่วงครึ่งปีแรก 2563 พบว่า ธุรกิจบรรจุภัณฑ์สามารถสร้างการเติบโตท่ามกลางวิกฤต COVID-19 จากการเป็นธุรกิจที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค สำหรับธุรกิจของ SCGP แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ประกอบด้วย สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibrous Chain) โดยปัจจุบันมีบรรจุภัณฑ์ครอบคลุมและหลากหลาย และมีฐานการผลิต 5 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ SCGP ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทำให้บรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ และเป็นเหตุผลที่ทำให้ SCGP มีฐานลูกค้ากระจายอยู่ในธุรกิจต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โลจิสติกส์ และอีคอมเมิร์ซ โดยปัจจุบันสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ไปกว่า 20 ประเทศทั่วโลก การทำธุรกิจคงไม่อาจหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะสังคมและผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ วัน SCGP จึงวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทำให้บรรจุภัณฑ์และโซลูชันของ SCGP มีความแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ของลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงไลฟ์สไตล์การใช้งานของผู้บริโภคด้วย อย่างเช่น บรรจุภัณฑ์ Optibreath สำหรับบรรจุผักและผลไม้สดซึ่งช่วยยืดอายุในการเก็บรักษาได้นานขึ้น จึงตอบโจทย์ทั้งด้านผู้ประกอบการที่สามารถเก็บรักษาสินค้าให้นาน ที่สำคัญ ยังเป็นการช่วยลดปริมาณขยะจากอาหารที่เน่าเสียอีกด้วย ในส่วนภาพรวมครึ่งปีแรกที่เกิดภาวะโรคระบาดใหญ่หรือ Pandemic จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลกนั้น SCGP ยังคงมีตัวเลขการเติบโตโดดเด่น จากแผนกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นแพคเกจจิ้งสำหรับ B2B2C ที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบรวมถึงพัฒนาโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านบรรจุภัณฑ์แก่ลูกค้าแบบเฉพาะรายและร่วมทำงานกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด จึงทำให้เกิดฐานลูกค้าที่แข็งแรงและได้รับคำสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และการขยายธุรกิจด้วยการควบรวมกิจการ (Merger & Partnership) โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 45,903 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 11 และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,636 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 40 ปัจจุบัน SCGP มีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเพื่อขยายกำลังการผลิตรวม 4 โรงงาน ในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซีย ด้วยเงินลงทุนประมาณ 8,200 ล้านบาท โดยจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2563-2564 และอยู่ระหว่างการเข้าซื้อกิจการโรงผลิตกล่องกระดาษลูกฟูกรายใหญ่ในประเทศเวียดนาม ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพให้ SCGP สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรของภูมิภาคอาเซียน และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น เร็ว ๆ นี้ SCGP เตรียมนำบริษัทฯ เข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,127,550,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.5 ของจํานวนหุ้นสามัญที่ออกและชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment) จำนวนไม่เกิน 169,130,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายทั้งหมดในครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจ ด้วยการขยายกำลังการผลิต (Organic) การควบรวมกิจการแบบ Merger & Partnership (Inorganic) ชำระคืนเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ โดยนักลงทุนที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หนังสือชี้ชวนในเว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. หรือเว็บไซต์ www.scgpackaging.com แหล่งข้อมูล (1) รายงานการวิจัยทางการตลาดแบบอิสระของ ฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน (2) ร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนฉบับเต็มของ SCGP ซึ่งได้ยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th

SCGP ผู้นำบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน

SCGP ผู้นำบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน มีหุ้นที่กำลังจะ IPO ตัวหนึ่งที่น่าสนใจ และนักลงทุนน่าจะอยากทำความรู้จักมากขึ้น ผมขออาสาพาไปรีวิวดูในภาพรวมทั้งหมดที่คุณควรจะรู้ก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะตอน IPO หรือหลังจากที่หุ้นเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วก็ตาม บริษัทนี้ก็คือ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งตัวย่อในตลาดที่เราจะเห็นกันก็คือ “SCGP” นะครับ มีอะไรบ้างที่คุณต้องรู้ เราไปดูกัน SCGP ทำธุรกิจอะไร? SCGP เป็นผู้ผลิตและให้บริการบรรจุภัณฑ์ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเอสซีจี (SCC) โดยดำเนินธุรกิจใน 5 ประเทศได้แก่ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย ประกอบด้วย 2 สายธุรกิจหลัก คือ สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) ซึ่งมี บรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ (Fiber-Based Packaging) กระดาษบรรจุภัณฑ์ (Packaging Paper) บรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ (Performance and Polymer Packaging) สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibrous Chain) คือ จำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับบรรจุอาหาร (Food Service Products) และผลิตภัณฑ์เยื่อและกระดาษ (Pulp and Paper Products) โดยสัดส่วนรายได้ของทั้ง 2 สายธุรกิจก็ตามนี้ครับ หมายเหตุ: คำนวณเป็นร้อยละของรายได้รวมจากการขายของบริษัทฯ ข้อมูลตามส่วนงานแต่ละส่วนของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรนำมาจากข้อมูลทางการเงินสำหรับผู้บริหารที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบหรือสอบทานจากผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ สุทธิจากการตัดรายการระหว่างสายธุรกิจ สายธุรกิจหลักอย่างบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรมีรายได้ที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่องซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่สายธุรกิจเยื่อและกระดาษมียอดขายที่ลดลงเนื่องจากความต้องการกระดาษพิมพ์เขียนลดลง ทำไม SCGP จึงเป็นธุรกิจดาวรุ่ง (Rising Star) ของ SCC และกำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายคนอาจจะทราบอยู่แล้วว่า SCC ประกอบไปด้วย 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจเคมิคอลส์, ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และสุดท้ายคือ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง หรือ SCGP นั่นเอง ซึ่งรายได้ของ SCGP เมื่อเทียบกับภาพรวมในเอสซีจีนั้นมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ประมาณร้อยละ 23 จากอัตราการเติบโตของยอดขายและกำไร ขอสรุปปัจจัยหลัก 4 ข้อคือ จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและการเติบโตของธุรกิจ E-commerce ในช่วงที่ผ่านมาทำให้บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตที่สูงและยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต 69% ของรายได้ SCGP ในครึ่งปีแรกของปี 2563 มาจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค เพราะฉะนั้น ธุรกิจของ SCGP จึงไม่ใช่แค่การจำหน่ายให้แก่ลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการหรือ B2B แต่ถือเป็นธุรกิจแบบ B2B2C ที่พัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานของผู้บริโภคด้วย SCGP เร่งการเติบโตให้แก่ธุรกิจโดยใช้กลยุทธ์การควบรวมกิจการและร่วมมือกับพันธมิตร (Merger & Partnership – M&P) วันนี้ SCGP คือบริษัทชั้นนำในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนอยู่แล้ว การเข้า IPO ก็ถือเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งเพื่อขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในข้อสามนี้น่าสนใจนะครับ เพราะจาก Track Record การเติบโตในอดีตของ SCGP จะพบว่า SCGP ขยายธุรกิจและเพิ่มการเติบโตผ่านกลยุทธ์ Merger and Partnership (M&P) ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เพื่อขยายกำลังการผลิตและเพิ่มความหลากหลายให้กับธุรกิจ โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา SCGP มีการลงทุน M&P มากถึง 18 โครงการ และในปี 2562 ปีเดียว SCGP ใช้เงินลงทุนในการ M&P 2 โครงการราว 2.5 หมื่นล้านบาท เพื่อเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้นำด้านกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย และผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์แบบคงรูปชั้นนำในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เพิ่มโอกาสการเติบโตทางธุรกิจได้ดีมากขึ้นไปอีก และจากกลยุทธ์เหล่านี้ทำให้ SCGP มีฐานการผลิตกว่า 40 โรงงาน ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย ซึ่งข้อมูลจาก Frost & Sullivan ระบุว่า SCGP เป็นผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์และเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน แสดงว่า SCGP ต้องการโตในต่างประเทศมากขึ้นใช่ไหม? ถ้าดูจากสัดส่วนรายได้แบ่งตามประเทศลูกค้า จะพบว่า ยอดขายเกินกว่า 50% ยังอยู่ในประเทศไทย (จากรูปด้านล่าง) โดยกลยุทธ์การเติบโตในระยะยาวของ SCGP ก็คือ นำรูปแบบธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยไปขยายในต่างประเทศ โดยใช้กระบวนการบูรณาการทั้งในแนวตั้งคือเพิ่มความแข็งแกร่งระหว่างปลายน้ำกับต้นน้ำ และแนวนอนคือการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการ เพื่อสร้างความใกล้ชิดระหว่าง SCGP กับลูกค้าและมีส่วนร่วมกับลูกค้าในด้านต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น SCGP ถือหุ้นโดย SCC เป็นส่วนใหญ่? ใช่ครับ รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ก่อนและหลังการ IPO ครั้งนี้ ก็ตามนี้เลย ซึ่งเมื่อดูจากตารางก็แปลว่า ก่อนหน้าการ IPO ครั้งนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็คือ SCC เกือบทั้งหมด โดย SCGP จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,127.55 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.5 ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment) จำนวนไม่เกิน 169.13 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายทั้งหมดในครั้งนี้ ทำให้สัดส่วนนักลงทุนที่เป็นประชาชนทั่วไปจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่สูงสุดไม่เกินร้อยละ 29.32 ภายใต้สมมติฐานว่ามีการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนส่วนเกินทั้งจำนวน จุดแข็งของ SCGP คืออะไร? จุดแข็งข้อแรกก็คือ การที่บริษัทมีฐานลูกค้าที่กว้างขวาง ในเกือบทุกอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากบริษัทต่าง ๆ ที่นับได้ว่าเป็น Big Player ในแต่ละอุตสาหกรรม โดย SCGP ทำหน้าที่เป็นคู่คิดที่ช่วยแก้ปัญหาและพัฒนาโซลูชันให้กับลูกค้า อย่างเช่น บรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว Optibreath ที่ช่วยยืดอายุสินค้าประเภทผักและผลไม้ ซึ่งแน่นอนว่า เมื่ออายุผลิตภัณฑ์หรือ Shelf life ยาวนานขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายให้แก่เจ้าของสินค้าด้วย พอไปดูยอดขายของบริษัทลูกค้าของ SCGP แต่ละราย ไม่ว่าจะอยู่ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ อีคอมเมิร์ซ และธุรกิจขนส่ง ก็พบว่ามีศักยภาพในการเติบโตและไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 มาก และหากมองภาพใหญ่ระดับโลกจะพบว่า ตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนยังมีพัฒนาการตามหลังประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้ว อย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเยอรมนี และสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเทศเหล่านี้มีอัตราการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ต่อประชากรสูงกว่าอาเซียนถึง 2-3 เท่า ดังนั้น ในภูมิภาคอาเซียนที่ตอนนี้มีประชากรเกือบ 650 ล้านคน จึงถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและโอกาสเติบโตได้อีกมากสำหรับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ อีกหนึ่งความแข็งแกร่งของ SCGP คือ การมีโรงงานฐานการผลิตกว่า 40 แห่งที่กระจายตัวอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย จึงมีข้อได้เปรียบเรื่องทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้ลูกค้า สามารถตอบโจทย์ทั้งลูกค้าในระดับท้องถิ่น ไปจนถึงบรรษัทข้ามชาติและผู้ประกอบการรายใหญ่ระดับภูมิภาคที่มีโรงงานผลิตอยู่ในภูมิภาคอาเซียน SCGP ระดมทุน IPO ครั้งนี้ เอาไปทำอะไร? SCGP แสดงวัตถุประสงค์ในเว็บไซต์ ก.ล.ต. ไว้ว่า เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายธุรกิจด้วยการขยายกำลังการผลิตของบริษัทฯ (Organic) และ/ หรือการควบรวมกิจการ (Inorganic) ซึ่งโครงการขยายกำลังการผลิตที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ มูลค่าการลงทุนรวม 8.2 พันล้านบาทและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 ก็มีตามนี้ครับ

บรรจุภัณฑ์ เฟสท์ ชิลล์ ทางเลือกที่ใช่ของฟู้ดเดลิเวอรี

ปัจจุบัน แพลตฟอร์มส่งอาหารมากมายเกิดขึ้นและได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความสะดวกสบายของการรับประทานอาหารที่บ้าน เพราะไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย จนอาจเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ แต่อย่างไรก็ดียังคงให้ความสำาคัญในเรื่องของความปลอดภัยและใส่ใจที่จะมีส่วนร่วมในเรื่องสิ่งแวดล้อม ในฐานะผู้นำทางด้านบรรจุภัณฑ์อาหาร เฟสท์จึงได้คิดค้นบรรจุภัณฑ์เฟสท์ ชิลล์ ที่ตอบโจทย์บริการเดลิเวอรี่ ที่ร้านอาหารและผู้ประกอบการมั่นใจได้ในความสะอาด ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตจากเยื่อยูคาลิปตัสจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์ มีการออกแบบโครงสร้างบรรจุภัณฑ์ให้มีความแข็งแรง ขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เคลือบด้วยฟิล์มที่สามารถบรรจุอาหารร้อนได้ถึง 130 องศาเซลเซียส และสามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรง ทั้งอาหารที่มีความร้อน มีน้ำและน้ำมัน และผ่านการทดสอบในเรื่องความสะอาดปลอดภัยอย่างเข้มงวดข้อสำคัญหลังจากการใช้งานยัง สามารถลอกฟิล์มเพื่อนำไปรีไซเคิล และบรรจุภัณฑ์สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติภายใน 60 วัน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่คำนึงถึงผลประโยชน์ทั้งต่อธุรกิจผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง สามารถแช่เย็นได้ที่อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส สามารถคัดแยกขยะได้สะดวก ด้วยการลอกแผ่นฟิล์มที่เคลือบด้านในออกจากตัวกล่อง สามารถอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟที่กำาลังไฟ800 วัตต์ ได้นาน 3 นาที ฟิล์มพลาสติกที่ลอกออกมาแล้วสามารถนำไปรีไซเคิลได้ ส่วนที่เหลือจะย่อยสลายได้ภายใน 60 วัน บรรจุภัณฑ์มีความแข็งแรงเหมาะสำาหรับการจัดส่งเดลิเวอรี บรรจุภัณฑ์เฟสท์ ชิลล์ มีวางจำาหน่ายที่ Fest Shop เอสซีจี สำานักงานใหญ่ บางซื่อ และ www.festforfood.com ติดตามรายละเอียดหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/fest LINE @festforfood หรือ Call Center 0-2586-1000

SCG Packaging ทรานสฟอร์มช้างตัวใหม่ ให้ก้าวไกลมากขึ้น

นอกจากการบริหารจัดการและบริการด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว ความสำเร็จตลอดหลายปีที่ผ่านมาของบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ยังมี “ทีมนักออกแบบบรรจุภัณฑ์” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่คอยสร้างสรรค์แพคเกจจิ้งจนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาโดยตลอด P-DNA ฉบับนี้ เราจึงชวนพวกเขามาร่วมพูดคุยถึงบทบาทหน้าที่ รวมถึงมุมมองต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ขององค์กร ในฐานะที่พวกเขาคือทีมเบื้องหลัง“ประติมากรรมช้าง” สัญลักษณ์ของการทรานสฟอร์มธุรกิจเอสซีจี แพคเกจจิ้ง เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรอย่างเต็มตัว มากกว่าการตอบโจทย์ลูกค้า คือการเป็นเพื่อนคู่คิด การออกแบบแพคเกจจิ้งต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์กับศิลปะ ภายในทีม Packaging Designer จึงต้องมีทั้ง Structural Designer ผู้ทำหน้าที่ออกแบบโครงสร้างและความแข็งแรงของบรรจุภัณฑ์ กับ Graphic Designer ผู้เติมแต่งหน้าตาบรรจุภัณฑ์ให้ออกมาสวยงามและน่าดึงดูด ซึ่งจะร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานที่ทั้งสวยงามและตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด ภายใต้แนวคิด Holistic Design หรือการออกแบบองค์รวม “งานที่ทีมนักออกแบบแพคเกจจิ้งทำเรียกว่าเป็น Packaging Solutions Provider อย่างแท้จริง เพราะแม้ว่าลูกค้าไม่มีไอเดียอะไรเลย เราก็จะคอยเป็นพาร์ตเนอร์ที่ร่วมคิดและช่วยแนะนำลูกค้าในทุกการแก้ ปัญหา งานของเราจึงไม่ใช่แค่การออกแบบแพคเกจจิ้งตามความต้องการของลูกค้า แต่ยังต้องคิดไปถึง Marketing Strategy ว่าแพคเกจจิ้งที่เราออกแบบจะช่วยเพิ่มยอดขายให้ลูกค้าได้อย่างไร โครงสร้างหรือกราฟิกแบบไหนที่จะทำให้แพคเกจจิ้งตอบโจทย์ทั้งการใช้งานและความสวยงาม “เมื่อทีมเราได้รับ Requirement จากลูกค้าแล้ว เราก็นำแนวคิด Design Thinking เข้ามาใช้ โดยเริ่มทำ รีเสิร์ชกันก่อน จากนั้นจึงนำไปออกแบบ จนได้ตัว Mockup ไปทดลองใช้จริง เพื่อจะรู้ว่างานที่เราทำตอบโจทย์ทั้งลูกค้าและผู้ใช้หรือไม่ ถ้าได้ผลลัพธ์ว่ายังไม่ตอบโจทย์ ก็ย้อนกลับไปหาทางแก้กันใหม่ “รวมถึงการมองภาพรวมด้วยว่า งานที่ผลิตออกไปนั้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ เพราะนักออกแบบมีหน้าที่คิดงานออกมาให้มีความ Circular สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างสมเหตุสมผล ไปกันได้กับกระบวนการผลิตที่เรามีและสามารถแนะนำสิ่งที่ดีกว่าให้ลูกค้าได้ด้วย” ช้างตัวใหม่กำลังก้าวเดิน นอกจากงานออกแบบแพคเกจจิ้ง ตราสินค้า และอัตลักษณ์องค์กร (Corporate Identity) ให้กับกลุ่มลูกค้า งานด้าน Exhibition Design ที่เน้นการใช้วัสดุกระดาษเป็นหลัก ถือเป็นอีกภารกิจที่ทีมนักออกแบบของ เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น Exhibition ในห้างสรรพสินค้า หรืองานแสดงสินค้าระดับชาติอย่าง THAIFEX หรือสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ “มีผลศึกษาบอกว่า ในไทยมีการจัด Exhibition เฉลี่ย 2,700 อีเว้นต์ต่อปี เติบโตอยู่ที่ 20% คิดเป็นมูลค่า15,000 ล้านบาท นับเป็นโอกาสที่ธุรกิจเราจะลงไปเป็นผู้เล่นในตลาดนี้ เพราะการที่วัสดุหลักของเราคือกระดาษก็มีข้อได้เปรียบที่ดีกว่าในด้านสิ่งแวดล้อม การรีไซเคิล น้ำหนักเบา การติดตั้งที่มีความปลอดภัย และปริมาณฝุ่นที่เกิดจากกระดาษก็น้อยกว่าวัสดุอื่นด้วย” งานแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำากัด (มหาชน) เตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นับเป็นงานสำาคัญที่ทีมนักออกแบบได้มีโอกาสร่วมกันสร้างสรรค์ประติมากรรม “ช้าง” สัญลักษณ์ที่จะจัดแสดงภายในงาน เพื่อสื่อสารถึงการทรานสฟอร์มองค์กรจากธุรกิจเดิม หนึ่งในทีมออกแบบด้านโครงสร้าง เล่าถึงไอเดียในการออกแบบประติมากรรมช้างให้ฟังว่า “ช้างสื่อความเป็นเอสซีจีอยู่แล้ว แต่เพื่อสื่อถึงความเป็นแพคเกจจิ้งให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจึงดีไซน์รูปทรงของช้างให้ออกเป็น Polygon คล้ายกับรูปแบบการพับกระดาษโอริกามิของญี่ปุ่นที่มีเสน่ห์และโดดเด่นในตัวเองเมื่อคนมองเห็นช้างตัวนี้ ก็จะรับรู้ได้ทันทีว่าทำมาจากกระดาษ ซึ่งสะท้อนตัวตนขององค์กรเราที่เติบโตมาจากธุรกิจนี้ “กระบวนการทำประติมากรรมช้างตัวนี้ เราเริ่มจากทำภาพสามมิติก่อน เมื่อปรับรูปแบบให้ตรงใจและตอบโจทย์แนวคิดในการทรานสฟอร์มองค์กรได้แล้ว จึงค่อยออกแบบโครงสร้าง ซึ่งมีข้อควรระวังหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นการรับแรง การประกอบให้แข็งแรง การขนส่ง เพราะช้างตัวจริงที่ใช้จัดแสดงมีขนาดใหญ่ถึง 5 เมตร แม้ว่าเราจะมีการทำโมเดลช้างขนาดเล็ก 20 เซนติเมตร สำาหรับทดลองประกอบขึ้นรูปมาก่อน แต่พอขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นกลับมีรายละเอียดที่ต้องใส่ใจแตกต่างกัน เช่น ช้างตัวเล็กใช้กระดาษที่พับเป็นชิ้นมาต่อกัน 10 กว่าชิ้น งานจะสวยเนี้ยบ องค์ประกอบไม่เยอะ แต่ช้างตัวใหญ่ใช้มากกว่าถึง 50 ชิ้น ทำให้เรากังวลว่าหน้าตาของช้างจะออกมาเป็นยังไง จะสวยอย่างที่คิดไว้ไหม ซึ่งงานด้านกราฟิกก็จะเข้ามาช่วยเสริมตรงจุดนั้น” ทีมออกแบบด้านกราฟิกเล่าต่อว่า “เพื่อตอกย้ำถึงการทรานสฟอร์มองค์กร เราจึงออกแบบช้างให้มี Key Visual ใหม่ที่เน้นสีสันสดใส สวยงาม และสื่อถึงความ Creative มากขึ้น โดยการทำภาพกราฟิกที่มีเหลี่ยมมุม มีมิติ พิมพ์ลงไปบนโครงสร้างกระดาษ ช่วยเสริมรายละเอียดชิ้นงานให้มีลักษณะของ Polygon และ โอริกามิได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อบอกว่าของเราคือช้างตัวใหม่ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าอย่างมั่นคง โดยสะท้อนผ่านโครงสร้างของประติมากรรมช้างที่ก้าวเท้าไปข้างหน้าเช่นกัน” ก่อนจากกัน ทีมนักออกแบบได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “เราเชื่อมั่นในพลังของทีมเวิร์กว่าสามารถช่วยขับเคลื่อนองค์กรได้ ตอนนี้เรากำาลังเปลี่ยนเพื่อก้าวไปเจอสิ่งใหม่ ๆ การปรับตัว ติดตาม เทรนด์โลกอยู่เสมอน่าจะช่วยให้ตัวเราและองค์กรพบโอกาสเติบโตได้ ดังนั้น การมองความเปลี่ยนแปลงปัจจุบันในแง่บวก มี Mindset แบบก้าวไปข้างหน้าจึงเป็นแนวทางการทำางานที่ดีที่สุดเพราะในอนาคต เราอาจไม่ได้ขายแค่แพคเกจจิ้งแบบเดิม แต่คงต้องมองไกลไปถึงบริการที่ครอบคลุมความต้องการของโลกยุคใหม่ด้วย” Sparkling Ideas “แรงบันดาลใจและไอเดียเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ผมจึงชอบการทำงานที่มีอิสระแบบคนรุ่นใหม่ ไม่ต้องจำกัดว่าเราควรทำงานที่ไหน ในช่วงเวลาใด เพราะบางครั้งเราก็ต้องการอารมณ์หรือสถานที่ดี ๆ เพื่อช่วยจุดประกายความคิด ซึ่งเอสซีจีเป็นองค์กรที่พร้อมเปิดโอกาสตรงนี้ให้เรา” ปอย – สุชาณัฐ ชิดไทย “แรงบันดาลใจของผมมาจากเพื่อนร่วมทีม งานบางอย่างถ้าเราคิดคนเดียวอาจไม่ตอบโจทย์ลูกค้าก็ได้ แต่การแชร์ไอเดียร่วมกับคนอื่น หรือทำงานออกมาแล้วมีคนช่วยคอมเมนต์ น่าจะทำให้งานของเราสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และหลายครั้งมุมมองของคนในทีมก็กลายเป็นพลังขับเคลื่อนไอเดียของผมได้ด้วย” เอก – สุริยา พิมพ์โคตร “เวลาเราเจอปัญหาในงานแล้วไม่สนุกกับมัน เรามักจะคิดถึงงานนั้นในแง่ลบแต่ถ้าเราสนุกไปกับปัญหา แรงบันดาลใจย่อมเกิดขึ้น และการแก้ปัญหาสำเร็จก็ไม่ได้หมายความว่าเราตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างเดียว แต่เรายังเอาชนะปัญหาของตัวเองได้ด้วย เมื่อพบปัญหาครั้งต่อไป เราจะมีความมั่นใจและพร้อมเผชิญหน้ากับมันมากขึ้น” แพ็ค – วันชนะ ศรีไตรรัตนา “ปัญหา เป้าหมาย และความคาดหวังที่เกิดจากงาน คือความท้าทายที่เราต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้ แต่ถ้าเราสามารถเปลี่ยนความท้าทายเหล่านั้นให้เป็นแรงบันดาลใจในการคิดงานได้ มันอาจช่วยผลักดันให้เรารู้สึกว่า งานที่เราทำคือความรับผิดชอบมันต้องออกมาดี สวยงาม ตอบโจทย์ลูกค้า และเราจะตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด” ติ๊ก – กฤชพร กูลรัตนรักษ์ “การรีเสิร์ชข้อมูลและการทำความเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า คือสิ่งแรกที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการคิดงานของเราได้ แล้วค่อยมองหา Reference อื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการมาช่วยเสริม ถ้าเหนื่อยก็ออกไปเที่ยวบ้าง คุยเล่นกับเพื่อนบ้าง แล้วค่อยกลับมาเขย่าไอเดียทั้งหมดให้มันออกมาเป็นงานที่เหมาะสมที่สุด” เอิร์น – ณิชารีย์ เหรียญทอง

บ้านโป่งโมเดลเราจัดการขยะทั่วทั้งอำเภอ

ที่นี่บ้านโป่ง นอกจากเป็นเมืองอุตสาหกรรมแล้ว อำเภอแห่งนี้คือจุดเชื่อมระหว่างภาคตะวันตกกับภาคกลาง ด้วยบริบท ที่กล่าวมาทำให้อำเภอบ้านโป่งมีปัญหาการจัดการขยะให้ต้องแก้ไข หากไม่มีการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ต้นทางแล้ว อนาคตข้างหน้าอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ “การจะเปลี่ยนมาจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง เราต้องเปลี่ยนทัศนคติ ต้องสร้างความรู้ สร้างการมีส่วนร่วมให้ชุมชน ซึ่งในขณะนั้นทางรัฐบาลก็ได้มีแผนปฏิบัติการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนลงมา โดยเน้นในเรื่องของ การจัดการขยะตั้งแต่ต้นทางพอดี เราเองก็อยากจะผลักดันในเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะจัดการขยะอย่างจริงจังในอำเภอบ้านโป่ง” ทศพล เผื่อนอุดม อดีตนายอำเภอบ้านโป่ง ผู้ให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด แต่การจะขับเคลื่อนเรื่องการจัดการขยะไปทั่วทั้งอำเภอ จนกระทั่งเกิดเป็น “บ้านโป่งโมเดล” นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย “เราคนเดียวทำไม่สำเร็จหรอก การที่บ้านโป่งโมเดลจะสำเร็จได้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน” ร่วมแรงร่วมใจ บ้านโป่งโมเดลเกิดจากความร่วมมือกันของทั้ง 3 ภาค ซึ่งทั้งหมดจะขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปไม่ได้เลยคือ ภาคราชการ ได้แก่ อำเภอบ้านโป่ง ท้องถิ่นอำเภอบ้านโป่ง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น กิ่งกาชาดอำเภอบ้านโป่ง ภาคเอกชน ได้แก่ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งมาช่วยในเรื่องการให้องค์ความรู้ในการจัดการขยะอย่างถูกต้อง รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนในเรื่องงบประมาณ สถานที่ และจัดกิจกรรมหลายสิ่ง หลายอย่าง ภาคประชาชน ได้แก่ ประชาชน รวมไปถึงสื่อในท้องถิ่น ชญานิน จำปาทอง ท้องถิ่นอำเภอบ้านโป่ง เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้โมเดลการจัดการขยะของอำเภอบ้านโป่งเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม แม้ทั้ง 3 ฝ่ายจะตกลงร่วมมือร่วมใจกันโดยมีเอสซีจี แพคเกจจิ้ง คอยจัดกิจกรรมและส่งเสริมในด้านองค์ความรู้ ทว่าสิ่งที่พวกเขายังขาดก็คือแบบอย่างของชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการจัดการขยะ “เราก็เลยถามทางท้องถิ่นอำเภอว่า ที่บ้านโป่งพอจะมีชุมชนที่เป็นปลอดขยะ (Zero Waste) ประเภทชุมชนขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นรางวัลระดับประเทศที่จัดโดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม “เมื่อเราลงไปดูบ้านรางพลับ เห็นว่าเขาทำจริงและมีการจัดการขยะที่ดีมากเราจึงนำบ้านรางพลับมาเป็นครู แล้วก็ให้ชุมชนที่สนใจมาเรียนรู้” ทางนายอำเภอยังกระตุ้นให้เกิดความเอาจริงเอาจังด้วยการจัดโครงการประกวด “ชุมชน Like (ไร้) ขยะอำเภอบ้านโป่ง” ขึ้น โดยการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้ง 17 แห่ง คัดเลือกชุมชนหรือหมู่บ้านที่อยู่ในการปกครองของตนเองมาอปท.ละ 1 แห่ง ซึ่งทั้ง 17 ชุมชนที่เป็นตัวแทนต้องไปดูงานที่บ้านรางพลับแล้วก็นำมาถอดบทเรียนจัดการขยะในชุมชนของตนเป็นระยะเวลา 4 เดือน ใครที่มีการจัดการขยะที่ดีที่สุดก็จะได้รับรางวัลชนะเลิศไป จากที่เคยมีบ้านรางพลับเป็นชุมชนต้นแบบในการจัดการขยะ อำเภอบ้านโป่งก็จะมีชุมชนที่เป็นต้นแบบขึ้นมาอีก 17 ชุมชน ซึ่งในการดำเนินงานครั้งต่อไป ทีมงานบ้านโป่งโมเดลคาดว่าจะเพิ่มชุมชนต้นแบบ ให้เข้มข้นด้วย แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมสร้างแรงกระเพื่อมและเป็นกระแสไปทั่วทั้งอำเภอ นี่คือจุดหมายที่แท้จริงของ “บ้านโป่งโมเดล” ล้อมกรอบ สหรัฐ พัฒนวิบูลย์ ผู้อำานวยการโรงงานบ้านโป่ง บริษัทสยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำากัด กล่าวว่า “เอสซีจียินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างชุมชนต้นแบบที่มีการจัดการขยะและให้เป็นจุดเริ่มของการขยายผลไปสู่ ทุกชุมชนในอำาเภอบ้านโป่ง โดยร่วมอบรมและส่งทีมงานไปช่วยในแต่ละพื้นที่ในเรื่องการคัดแยกขยะ เพื่อหมุนเวียนกลับมาเป็นทรัพยากรใช้ใหม่อย่างคุ้มค่า ซึ่งการดำาเนินโครงการในปี 2562 สำเร็จไปได้ด้วยดี เรายังคงให้ความร่วมมือในการขยายผลชุมชนต้นแบบให้ครบทุกชุมชนในบ้านโป่งต่อไป”

ฮั่วเซ่งฮง 40 ปี มีแต่ก้าวไปข้างหน้า

จากธุรกิจครอบครัวที่ริเริ่มจากร้านอาหารจีนบนถนนเยาวราช ความพิถีพิถันในรสชาติและคุณภาพวัตถุดิบได้ถูกผสมผสานกับแนวคิดการบริหารที่ทุกคนให้ความสำคัญ ทำให้ทุกวันนี้ ฮั่วเซ่งฮงเป็นชื่อที่ได้รับความไว้วางใจและถูกคิดถึงเป็นร้านแรก ๆ เมื่อมองหาอาหารจีน การเริ่มต้นกิจการโดยคุณพ่อมานพ พิริยเลิศศักดิ์ เมื่อประมาณ 40 ปีก่อน เปรียบดั่งรากฐานอันมั่นคงจนเป็นที่ยอมรับ กระทั่งทุกวันนี้ คุณพิสิทธิ์ พิริยเลิศศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ จำกัด นักบริหารเจเนอเรชั่นที่ 3 ได้นำเอาความไว้วางใจที่มีมาต่อยอดแตกไลน์ธุรกิจ “ฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ” ด้วยสะดวกและเข้าถึงลูกค้าทำให้ฮั่วเซ่งฮงติ่มซำเป็นร้านที่คนรักคุณภาพและความอร่อยไม่อยากปฏิเสธ วันนี้เรามาลองฟังเรื่องราวประสบการณ์การต่อยอดธุรกิจใน Lift Up Your Voice ฉบับนี้ หลักคิด “ฮั่ว – เซ่ง – ฮง” คุณพิสิทธิ์เล่าถึงคำว่า “ฮั่ว – เซ่ง – ฮง” คำสามคำที่มีความหมายว่าสามัคคี รุ่งเรือง เฟื่องฟู ซึ่งสามคำนี้ไม่ได้เป็นเพียงชื่อร้านที่ฟังติดหูแต่ยังแฝงด้วยความหมายอันเป็นปรัชญาการดำเนินธุรกิจของภัตตาคารจีนแห่งนี้อีกด้วย “ความสามัคคีนั้น เราสามัคคีกันทั้งในครอบครัวและการทำงาน เมื่อเราสามัคคีกันได้ ก็จะนำมาซึ่งความรุ่งเรืองและเฟื่องฟูทุกวันนี้พวกเราให้ความสำคัญกับการรักษาชื่อเสียงที่คุณพ่อสร้างมาเป็นอย่างมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับการบริหารธุรกิจในยุคสมัยใหม่ที่เราเอาเข้ามาใช้ เพราะหากพนักงานทำงานร่วมกันอย่างสุจริต ด้วยความสามัคคี มีเป้าหมายเดียวกันได้แล้ว ทุกคนก็จะสามารถรุ่งเรืองและเฟื่องฟูไปด้วยกันได้” ขยายช่องทางเพื่อเสิร์ฟคุณภาพและความอร่อย นอกจากเรื่องการร่วมมือกันทำงานแล้ว ความสำเร็จของฮั่วเซ่งฮงติ่มซำยังเกิดจากการมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยทั้งหมดนั้นตั้งอยู่บนมาตรฐานของอาหารคุณภาพดี เพื่อให้ชื่อเสียงที่สร้างมากว่า 40 ปี กลายเป็นความไว้วางใจสำหรับลูกค้า “สิ่งที่ถือเป็นจุดเด่นของเราสำหรับในแง่ของแบรนด์นั้นฮั่วเซ่งฮงติ่มซำถูกสร้างขึ้นโดยคนเจเนอเรชั่นใหม่ ส่วนเมนูอาหารเราคิดขึ้นบนพื้นฐานของคุณภาพมาแต่เดิม เราไม่ใช้สารกันบูด ลูกค้าสามารถไว้ใจได้ว่าสินค้าของเราดีต่อสุขภาพ เราไม่ได้เน้นการประหยัดต้นทุนเรื่องวัตถุดิบ ทุกเมนูของร้านเรายังเป็น Freshly Cook อยู่ทั้งภัตตาคารฮั่วเซ่งฮงและฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ ทุกเมนูต้องปรุงสดด้วยเครื่องปรุงที่เป็นของแท้จากธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีไขมันทรานส์ ซอส ซีอิ๊วต่าง ๆ คือของจริง อาหารของเราสำคัญที่ความอร่อย ถ้าไม่มีจุดนี้เราจะขายตัวเองไม่ได้ เราใช้ความอร่อยเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้มากขึ้นในราคาที่สมเหตุสมผล ทุกวันนี้ซาลาเปาไส้ต่าง ๆ ของเราใช้วัตถุดิบชั้นดี และขายในราคา 22 บาทเท่านั้น “ส่วนแผนการตลาด ปัจจุบันนี้เราต้องขยายการโฆษณาเข้ามาในสื่อออนไลน์มากขึ้น มีการออกสินค้าตัวใหม่ ๆ ให้ทันยุคทันสมัยเหมาะกับคนรุ่นใหม่มากขึ้น เช่น ซาลาเปาชาไทย ซาลาเปาลาวาซาลาเปาทุเรียน เป็นต้น เทรนด์ของคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้พวกเขาจะเน้นที่ตัวสินค้าที่รับประทานแล้วมีสุขภาพดี ซึ่งตรงกับ Value ของฮั่วเซ่งฮงติ่มซำอยู่แล้ว “ท่ามกลางเศรษฐกิจปัจจุบันเราก็อยู่นิ่งไม่ได้ หนึ่งในกลยุทธ์คือ การกระจายสาขาเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าเราได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้น เช่น ในโรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน หรือแม้กระทั่งบนสถานี BTS คือเราพยายามจะ Integrate เอาฮั่วเซ่งฮงติ่มซำไปในที่ที่ลูกค้าสะดวกให้มากที่สุด รวมถึงการจับมือร่วมกับ ปตท. เปิดฮั่วเซ่งฮงติ่มซำในปั๊มน้ำมันของ ปตท. เพื่อให้กลุ่มลูกค้าที่เดินทางบ่อยสามารถเข้าถึงง่าย ณ ตอนนี้ก็เปิดไปราว ๆ 80 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนั้นเรายังร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ทั้ง GET, Grab, LINE MAN, Foodpanda สำหรับลูกค้าที่ต้องการความสะดวกในการรับประทานอาหารร่วมกันที่บ้าน ก็สามารถสั่งจากเราผ่านช่องทางเหล่านี้ได้อีกด้วย” พันธมิตรที่ดีควรตอบโจทย์ธุรกิจได้ครบทุกด้าน สำหรับฮั่วเซ่งฮงติ่มซำที่คุณภาพต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง อาหารที่สร้างสรรค์ขึ้นจากวัตถุดิบสุดพิถีพิถัน จะไม่สามารถไปถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัยได้ หากไม่มีแพคเกจจิ้งที่มีคุณภาพ ซึ่งคุณพิสิทธิ์เผยว่า เหตุผลสำคัญที่เลือกบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยเฟสท์ ในเอสซีจี แพคเกจจิ้ง เป็นพันธมิตรคือ ความมั่นใจ “ทางเรามั่นใจในผลิตภัณฑ์ของเอสซีจีมาก เพราะชื่อเสียงที่มีมายาวนาน สำหรับเราความไว้วางใจคือ สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อลูกค้ารู้ว่าเราใช้ผลิตภัณฑ์ของเอสซีจี เขาก็มีความไว้วางใจเรามากขึ้นไปอีก ซึ่งตรงกับแนวทางการสร้างผลิตภัณฑ์ของเรา ที่ต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าให้สมกับที่เขาไว้วางใจเรา “ขณะเดียวกันทีมงานของเอสซีจีก็มี Relationship ที่ดีกับเรามาก คุณภาพผลิตภัณฑ์ของเอสซีจียังมีมาตรฐานที่สม่ำเสมอ คงทน รักษาคุณภาพได้ดีมาก ลูกค้าของเราจึงวางใจได้ว่า บรรจุภัณฑ์เฟสท์ของ เอสซีจี ทุกส่วนประกอบจะเป็นฟู้ดเกรดที่ทั้งสะอาด ปลอดภัย และสามารถสัมผัสกับอาหารของฮั่วเซ่งฮงได้โดยตรง “นอกจากชื่อเสียงแล้ว เราชอบในนวัตกรรมการใช้กระดาษจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์มาทดแทน งานดูแลชุมชนและสังคมต่าง ๆ ที่เอสซีจีทำอยู่ก็เป็นจุดที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า เอสซีจีเหมาะสมที่สุดที่จะใช้เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับอาหารของเรา” ในอนาคตต่อจากนี้ ผู้บริหารฮั่วเซ่งฮงยังคงมองหาไอเดียใหม่ ๆ ที่จะร่วมมือกับเอสซีจี แพคเกจจิ้ง ทั้งบรรจุภัณฑ์รูปแบบอื่น เช่น กล่องทรงปิ่นโตที่สร้างอารมณ์ในการกลับไปสู่การรับประทานอาหาร แบบ Traditional หรือแพจเกจจิ้งที่สามารถใช้นึ่งอาหารได้โดยไม่ต้องฉีกซอง ตลอดจนแพคเกจจิ้งอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้การแข่งขันในธุรกิจ พร้อมทั้งสามารถส่งเมนูคุณภาพเยี่ยมไปสู่นักชิม ทั่วประเทศต่อไป

Marketing Compass 2023 – 3 Dimensions, 3 Trends, 3 Technologies & 3 Marketing Components in Focus

Marketing Compass 2023 3 Dimensions, 3 Trends, 3 Technologies & 3 Marketing Components in Focus   On 2023 forecasts, Asst. Prof. Dr. Ake Pattaratanakun has prepared a summary of the Marketing Association of Thailand’s predictions. The summary not only reflects what 156 distinguished executives and academics think will be coming, but it also offers guidelines about what brands should do.   MUST-WATCH: 3 TRENDS, 3 DIMENSIONS & 3 TECHNOLOGIES Thai economy is expected to grow by 5 percent. In the economic field, businesses will have to focus on 1) Fast-changing consumer behaviors; 2) Global economic meltdown; and 3) Evolving digital technologies.    Consumers, meanwhile, will look for 1) Quality; 2) Trialability, which means brands can experiment with various new things. After COVID-19 crisis forced consumers to do what they never did before like ordering food deliveries and making e-payments, consumers will be keen to try something new; and 3) Traceability, which shows products’ carbon footprint and put all companies in supply chains in check. Consumers will want to find out if brands they are supporting are socially and environmentally responsible.   Business owners should allocate 5 – 10 percent of their budget to marketing. Investments should go to 1) Commerce platforms; 2) Content and 3) Payment systems that are convenient and smoothly linked to selling platforms. For example, businesses should integrate popular e-Wallets.   As artificial intelligence (AI) is set to play a big role in marketing arena, companies should be able to lower their marketing costs. Internet of Things (IoT), meanwhile, will enable the storage of big data. Biotechnology also will have crucial importance. All brands thus should urgently study these three technologies and leverage them for business advantages.   BANI WORLD: NEW LESSON FOR EXECUTIVES TO LEARN & ADJUST FAST As BANI World is materializing, all companies and their executives must prepare themselves for the followings:   B – Brittle: Business models may collapse real fast. So, entrepreneurs should not be too confident about any particular model. It is best to diversify businesses and risks.   A – Anxious: Stop wondering when anxiety will be gone. Just think that it is normal to feel anxious. You only have to learn more and accept the fact that there is no certainty in the business realm anymore.   N – Nonlinear: Companies do not need long-term plans like those for three- or five-year period these days, because they should engage in Experimenting rather than Planning. If they are interested in an idea, act on it fast at a small scale. If any problem emerges, solve it one by one. The world is now changing so fast that planning may mean you end up doing nothing.   I – Incomprehensible: Because things will be hard to fathom, you only have to be ready to make decisions and tackle things you have never experienced before. In the coming year, problem-solving skills will be.   2023 IS YEAR OF 3P MARKETING MIX   P1. Personalized Marketing – Customers have different needs even when they are in the same industry. So, it is best to appeal to them with Personalized Marketing that becomes increasingly cheaper thanks to increasingly advanced technology. By now, companies must have already familiarized themselves with CRM (Customer Relationship Management) and CEM (Customer Experience Management) systems, which can generate income just like production machines. The more one invests efficiently in these systems, the greater value one can generate for customers.   P2. Precision Marketing – In the past, Mass Marketing had been the norm with ads placed in magazines or TV. Today, Precision Marketing proves better. It is like a sniper who can efficiently reach out to a target thanks to support from Facebook & Google AI. Use such marketing to avoid paying hefty mass-marketing fees.   P3. Performance Marketing – Creating a good brand image alone is out. Technologies have already enabled brands to evaluate the efficiency of marketing budget spent based on purchases / repeated purchases. So, you should focus on performance marketing instead.   source: https://www.scgpackaging.com/th/alotNewsletter