SCGP Newsroom

“Ready to Share, Ready to Show” บรรจุภัณฑ์ขนส่งปลอดภัย จัดวางสะดวก ส่งเสริมสินค้าให้โดดเด่น

การจัดส่งสินค้าออกจากโรงงานหรือแหล่งผลิตไปยังจุดที่จำหน่ายสินค้าให้ได้อย่างปลอดภัย เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผู้ประกอบการหลายคนให้ความสนใจเป็นลำดับต้น ๆ เพราะหากสินค้าเกิดความเสียหายแม้แต่เล็กน้อยระหว่างที่อยู่ในช่วงของการขนส่ง นั่นเท่ากับว่า มูลค่าของตัวสินค้าก็จะลดลงไปด้วย

 

ดังนั้นการเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ใช้สำหรับขนส่งสินค้าให้ดี เลยเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการ รู้สึกมั่นใจว่าสินค้าของพวกเขา สามารถเดินทางไปถึงจุดหมายได้อย่างไร้ปัญหา

 

ทางนักออกแบบของ SCGP ธนพร วรวาส และ กฤชพร กุลรัตนรักษ์ ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่งที่มีคุณภาพออกมา เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เลือกนำไปใช้งาน ซึ่งบรรจุภัณฑ์ดังกล่าว ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ ที่มากกว่าการเป็นสิ่งที่ใช้สำหรับขนส่งสินค้าอีกด้วย

 

บรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่งที่นักออกแบบของ SCGP ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาในครั้งนั้น มีชื่อว่า “Ready to Share, Ready to Show”

 

ชัวร์เรื่องขนส่ง

 

“Ready to Share, Ready to Show” คือผลงานการสร้างสรรค์ของทางนักออกแบบ SCGP ที่มาในรูปแบบของกล่องบรรจุภัณฑ์ สำหรับขนส่งขวดซอสพริกขนาดใหญ่พิเศษ

ขึ้นชื่อว่าเป็นกล่องบรรจุภัณฑ์ สำหรับขนส่งสินค้าโดยเฉพาะแล้ว แน่นอนว่ามีจุดเด่นที่เห็นชัดเจนอย่างแรกก็คือ สามารถใช้บรรจุขวดซอสพริกขนาดใหญ่พิเศษ เพื่อขนส่งไปยังจุดหมายต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย ไม่มีความเสียหายของสินค้าระหว่างทำการขนส่ง

 

ด้วยการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีมิติมาตรฐาน (Common Footprint) พร้อมกับผ่านการออกแบบมาอย่างเป็นพิเศษ เพื่อทำให้ตัวกล่องบรรจุภัณฑ์มีความแข็งแรง ยึดตัวสินค้าให้ติดอยู่กับกล่องบรรจุภัณฑ์ ไม่คลาดเคลื่อนจนเกิดความเสียหาย ซึ่งนักออกแบบ SCGP ได้เน้นย้ำว่าพวกเขาสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์นี้ขึ้นมา โดยคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยในการขนส่งเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยบรรจุภัณฑ์นี้ ใช้สำหรับเพื่อการขนส่งสินค้าโดยเฉพาะ

 

หากใช้บรรจุภัณฑ์นี้แล้วมีข้อผิดพลาดที่เกิดจากการขนส่งเกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียว มันจะทำให้พวกเขาถูกวิจารณ์จากลูกค้าได้

 

“เราให้ความสำคัญกับเรื่องความแข็งแรงในการรับแรงกระแทกของบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก” นักออกแบบ SCGP กล่าวถึงจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของกล่องบรรจุภัณฑ์ “Ready to Share, Ready to Show”

 

“เราจะมีการทำตัวอย่างของบรรจุภัณฑ์ออกมา เพื่อนำไปให้ลูกค้าลองเทส ลองเรียงซ้อนจริง เราดูขั้นตอนการขนส่งสินค้า ตั้งแต่ คลังสินค้า (Warehouse) ของลูกค้าเลย ว่าลูกค้าใช้บรรจุภัณฑ์ของเราจัดเรียงสินค้า แล้วเกิดความเสียหายอะไรไหม ? บรรจุภัณฑ์ของเราสามารถรับแรงกระแทกได้ดีหรือเปล่า ?”

 

“เราต้องมั่นใจมาก ๆ ว่าบรรจุภัณฑ์ของเรา สามารถใช้ขนส่งสินค้าได้อย่างปลอดภัย ไม่อย่างนั้นเราจะโดนวิจารณ์ได้ หากมีจุดไหนที่เราคิดว่ามันมีความเสี่ยง เราก็จะต้องเช็กให้ชัวร์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ก่อน ถึงจะส่งงานออกไปได้”

 

“ต้องคิดหลาย ๆ อย่างเผื่อเอาไว้ จำลองใช้บรรจุภัณฑ์ในทุกสถานการณ์ดูก่อน เพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในทุกแง่มุม”

 

สะดวกต่อทุกฝ่าย

 

ต่อจากการใช้งานในด้านการขนส่งแล้ว จุดเด่นถัดมาของ “Ready to Share, Ready to Show” ก็คือเป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับขนส่งขวดซอสพริกขนาดใหญ่พิเศษ ที่ผู้จำหน่ายสามารถนำตัวสินค้ามาติดตั้งวางขายได้สะดวก

 

ทางนักออกแบบ SCGP ได้เปิดเผยว่าพวกเขาเลือกใช้ “SRP” หรือ “Shelf Ready Packaging” เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลัก สำหรับการออกแบบตัวกล่องบรรจุภัณฑ์ “Ready to Share, Ready to Show”

 

ซึ่ง “SRP” หรือ “Shelf Ready Packaging” นั้นเป็นกล่องบรรจุภัณฑ์รูปแบบหนึ่ง ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการนำสินค้ามาวางเรียงบนชั้นได้อย่างสะดวก ช่วยให้ผู้ใช้งานประหยัดขั้นตอน ประหยัดเวลาประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดเรียงสินค้า อีกทั้งยังช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดของตัวสินค้าที่ถูกวางอยู่ใน “SRP”

 

“เราออกแบบตัว Common Footprint ที่เรามีอยู่แล้วให้มีความเป็น Shelf Ready Packaging ไปในตัวด้วย ก่อนที่จะออกมาเป็น Ready to Share, Ready to Show ที่ตัวโครงสร้างของกล่อง จะเป็น Common Footprint ผสมรวมเข้ากับ Shelf Ready Packaging” นักออกแบบ SCGP เผย

 

“เราคำนึงถึงเรื่องหน้างาน ทั้งพนักงานของลูกค้าปลายทางของเรา หรือผู้ที่เข้ามาซื้อสินค้าในจุดจำหน่ายแต่ละแห่ง ซึ่งมันก็ตอบโจทย์ในสิ่งที่ลูกค้าต้องการจากเรา” 

 

“พนักงานสามารถทำงานได้ง่ายโดยที่ไม่ต้องมาเสียเวลากับการจัดวางสินค้าที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ของเรา และผู้ที่เข้ามาซื้อสินค้า เห็นตัวสินค้าได้อย่างชัดเจน และเกิดความสนใจในตัวสินค้า”

 

เฉิดฉายน่าสนใจ

 

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ “Ready to Share, Ready to Show” ก็คือเป็นกล่องบรรจุภัณฑ์ที่สามารถช่วยชูตัวสินค้าให้มีความโดดเด่น ดึงดูดสายตาของผู้ซื้อให้เข้ามาให้ความสนใจกับตัวสินค้า นำไปสู่โอกาสที่ดีในการส่งเสริมการขาย

 

นักออกแบบ SCGP ได้บอกว่า “ลูกค้าเน้นย้ำเรื่องการรีเทลสินค้า การที่พวกเขาจะต้องนำสินค้าไปวางขาย แล้วมีผู้ซื้อเข้ามาให้ความสนใจกับตัวสินค้าและซื้อ จึงให้ความสำคัญกับผู้ที่เข้ามาเลือกซื้อสินค้า ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้ผู้ที่เข้ามาเลือกซื้อสินค้า หยิบสินค้าได้ง่าย เราเลยมองถึงตัว Shelf Ready Packaging”

 

“เราต้องหาทางทำให้สินค้าของลูกค้า Outstanding กว่าสินค้าของลูกค้ารายอื่น ก็เลยมีการคุยกับทางกราฟิกดีไซน์ในทีม ให้ช่วยออกแบบกล่องบรรจุภัณฑ์ให้มีความแตกต่างกว่าของคู่แข่ง ทำอย่างไรให้กล่องบรรจุภัณฑ์ของเรา สามารถช่วยโปรโมตแบรนด์ลูกค้า สร้างความน่าจดจำให้กับผู้ซื้อสินค้า”

 

ทำให้ผลงานของเราไม่ได้เป็นเพียงกล่องบรรจุภัณฑ์ สำหรับขนส่งสินค้าอย่างเดียว

 

ด้วย 3 จุดเด่นหลักของกล่องบรรจุภัณฑ์ “Ready to Share, Ready to Show” ทำให้ผลงานดังกล่าวสามารถก้าวขึ้นไปคว้ารางวัลชนะเลิศประเภท Transport Package บรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง ในงานประกวด “ASIASTAR 2022 AWARDS”
 
“การที่เราออกแบบผลงาน โดยต้องการทำให้ตอบโจทย์หลากหลายรูปแบบ แต่ยังคงเรื่องการขนส่งเป็นเรื่องหลัก เลยทำให้ผลงานของเราค่อนข้างแน่นในเรื่องคุณภาพ และได้รับความสนใจจากคณะกรรมการ” นักออกแบบ SCGP กล่าวถึงรางวัลที่ได้มาจากผลงาน “Ready to Share, Ready to Show”

 

“ประทับใจในการร่วมมือกันของทุกฝ่าย ช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานในครั้งนี้ออกมา ทางเรามีการแจ้งกับทางลูกค้า ว่าผลงานครั้งนี้ได้รับรางวัลมา ซึ่งพวกเขาก็ดีใจกับเราด้วย”
 

SCGP ทำรายได้ปี 66 ที่ 129,398 ล้านบาท จากยอดขายบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์บริหารต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ชี้ดีมานด์ปี 67 ฟื้นตัว ดันรายได้ปีนี้ 1.5 แสนล้าน

SCGP ประกาศผลการดำเนินงานปี 2566 ทำรายได้จากการขาย 129,398 ล้านบาท และกำไรสำหรับปี 5,248 ล้านบาท จากการเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุนและเสริมความแข็งแกร่งของเครือข่ายจัดหาวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่ครอบคลุม ชี้แนวโน้มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ปีนี้ฟื้นตัวจากการกระตุ้นท่องเที่ยว ส่งออกฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มลดลง กางแผนปี 2567 วางกลยุทธ์รุกสร้างรายได้และทำกำไรให้ธุรกิจ ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขาย 150,000 ล้านบาท 

 

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP แถลงผลการดำเนินงานบริษัทฯ ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 129,398 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 จากปีก่อน มี EBITDA 17,769 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8 จากปีก่อน และมีกำไรสำหรับปี 5,248 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 จากปีก่อน โดยมีอัตรา EBITDA Margin ปรับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 14 จากปีก่อนที่ร้อยละ 13 จากการมุ่งเน้นบริหารต้นทุนและการผลิตสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ มียอดขายบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังแข็งแกร่ง แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมกระดาษบรรจุภัณฑ์ปีที่ผ่านมามีการแข่งขันด้านราคาสูงขึ้น และมีปัจจัยอัตราเงินเฟ้อและภาวะดอกเบี้ยซึ่งส่งผลกระทบกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ทั้งนี้ปัจจุบันสถานการณ์ราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษในภูมิภาคผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของความต้องการซื้อในภูมิภาคอาเซียนและประเทศจีน
 
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 มีรายได้จากการขาย 31,881 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ส่วน EBITDA 4,388 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสำหรับงวด 1,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 171 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้และต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น โดย EBITDA และกำไรสำหรับงวดที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณขายในเกือบทุกกลุ่มสินค้า และการเสริมประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่โรงงานในประเทศไทย การมีเครือข่ายจัดหาวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่ครอบคลุม ช่วยลดผลกระทบด้านราคาและเพิ่มความมั่นคงด้านการจัดหาวัตถุดิบ รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนใช้พลังงานชีวมวล

 

ทั้งนี้ ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับปัจจัยบวกจากการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่และการท่องเที่ยว การฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศเวียดนามและประเทศอินโดนีเซีย สินค้าส่งออกโดยเฉพาะอาหารแช่แข็งและอาหารสัตว์เลี้ยงที่ฟื้นตัวดี ส่วนสินค้าคงทนยังทรงตัว 

 

จากผลการดำเนินงานของปี 2566 คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท โดยบริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลงวดระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ในวันที่ 22 เมษายน 2567 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 3 เมษายน 2567 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน 2567

 

นายวิชาญ กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ปี 2567 มีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน เช่น ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศจีน โดยมีปัจจัยบวกจากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวและการส่งออกที่คาดว่าจะฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มลดลงจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ในขณะที่ราคาพลังงานและราคาวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลมีแนวโน้มทรงตัวจนถึงเพิ่มขึ้น และการปรับค่าระวางเรือขนส่งสินค้าที่อาจเกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง

 

SCGP พร้อมสร้างการเติบโตเพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้ปี 2567 ที่ 150,000 ล้านบาท ด้วยงบลงทุนรวม 15,000 ล้านบาท ผ่านกลยุทธ์การขยายในธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูง อย่างธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ บรรจุภัณฑ์อาหาร และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ Bio-Solutions ที่เป็นเมกะเทรนด์ การพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกิจ และการบริหารจัดการต้นทุน ควบคู่ไปกับการยกระดับการทำงานสู่ความเป็นเลิศ (Operational Excellence) ผ่านการใช้เทคโนโลยี รวมถึงการขับเคลื่อน ESG เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือก พร้อมทั้งดำเนินงานเพื่อก้าวสู่เป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 
 

5 วิธีปรับไลฟ์สไตล์ ใช้ชีวิตง่าย ๆ และยั่งยืน

5 วิธีปรับไลฟ์สไตล์ ใช้ชีวิตง่าย ๆ และยั่งยืน

วิถีชีวิตที่ยั่งยืนเป็นเทรนด์โลกที่กำลังได้รับความสนใจจากคนยุคใหม่ ที่เริ่มใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากขึ้น ว่ากันว่าการจะปรับเปลี่ยนวิถีของสังคมไปสู่ความยั่งยืนได้สำเร็จ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนในสังคม โดยพวกเราอาจเริ่มต้นจากการสำรวจ 5 Key Lifestyles ใกล้ตัวง่าย ๆ เมื่อเราเริ่มสำรวจและใส่ใจสิ่งเหล่านี้มากขึ้นในทุกโอกาส ในทุกวันที่เราออกไปใช้ชีวิต ก็นับว่ามีส่วนขับเคลื่อนและพาสังคมโลกขยับเข้าไปใกล้วิถีชีวิตที่ยั่งยืนมากขึ้นอีกขั้นแล้ว

 

  1. อาหาร

ลองคิดว่า อาหารและเครื่องดื่มของเราแต่ละมื้อ มีกระบวนการผลิตและแปรรูปมาอย่างไร หรือวิธีกำจัดเศษของเหลือจากอาหารเหล่านั้น ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังไงบ้าง ลองปรับเปลี่ยนรูปแบบอาหารประเภทเนื้อสัตว์มาเป็นธัญพืช ผลไม้ ผัก หรือ Plant-Based ก็จะช่วยลดอัตราการผลิตเนื้อสัตว์จากระบบปศุสัตว์ที่เกินจำเป็น รวมถึงการเลือกบริโภคพืชผักที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุด ก็มีส่วนช่วยลดปริมาณปล่อยของเสียระหว่างกระบวนการผลิตหรือแปรรูปได้

 

  1. ที่อยู่อาศัย

เราเลือกสร้างที่อยู่อาศัยจากวัสดุแบบใด เครื่องปรับอากาศและอุปกรณ์ที่ติดตั้งภายในบ้านทั้งหมด มีส่วนสร้างมลภาวะแก่สิ่งแวดล้อมมากแค่ไหน ในทุกครั้งที่เราใช้งาน ดังนั้น เราจึงควรเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทดแทนพลังงานไฟฟ้า ตลอดจนการเลือกนวัตกรรมเครื่องใช้ที่ประหยัดพลังงาน ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ

 

  1. การขนส่ง

ระบบขนส่งที่เลือกใช้ทั้งส่วนบุคคลและสาธารณะ สร้างมลภาวะแก่สิ่งแวดล้อมอย่างไร เรายังใช้งานรถยนต์รุ่นเก่าที่การสันดาปเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์อยู่หรือไม่ เราสามารถเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้า ที่ช่วยลดการก่อมลพิษได้ในหลาย ๆ โอกาส การเลือกรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีระบบสนับสนุนการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ย่อมดีต่อสังคมในระยะยาว

 

  1. สันทนาการ

การใช้เวลาว่าง หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่ไป เราใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ทุกวันนี้เริ่มมีธุรกิจทัวร์แนวใหม่ที่เน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อย่างการท่องเที่ยวชมท้องทะเลแบบไม่ทำร้ายปะการัง ไม่รบกวนถิ่นที่อยู่ของสัตว์น้ำ การใส่ใจเรื่องไม่นำขยะพลาสติกเข้าไปในพื้นที่อุทยานหรือแหล่งท่องเที่ยว เราพร้อมจะเลือกใช้บริการการท่องเที่ยวเหล่านั้นไหม

 

  1. สินค้าอุปโภคบริโภค

ส่วนใหญ่มาจากกระบวนการผลิตผ่านโรงงานอุตสาหกรรม และใช้เคมีเป็นส่วนประกอบสำคัญ ดังนั้น กว่าจะได้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมา เกิดของเสียอะไรขึ้นบ้าง หรือจะเป็นของเสียเหลือใช้ที่ปล่อยไปสู่สิ่งแวดล้อม หากเทียบกับปริมาณและความถี่ในการใช้งาน สามารถสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้มากแค่ไหน หรือลองหันมาสนับสนุนสินค้าที่เริ่ม มีนวัตกรรมลดปัญหาขยะ เช่น ผลิตภัณฑ์นมที่ใช้หลอดกระดาษแทนพลาสติก ถุงขนมที่ทำจากเยื่อธรรมชาติย่อยสลายได้เอง ฯลฯ

 

นี่เป็นเพียงไลฟ์สไตล์ตัวอย่างของการใช้ชีวิตประจำวันที่ชวนให้ทุกคนหันกลับมาสำรวจตัวเองมากขึ้น เราไม่จำเป็นต้องบีบบังคับตัวเองเพื่อก้าวไปสู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืน แต่ทุกครั้งที่เรามีโอกาสเลือกได้ ควรเลือกสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ตระหนักและใส่ใจโลกให้มากขึ้น เท่านี้ก็นับว่าเราได้ค้นพบ “กุญแจดอกแรก” ที่จะไขประตูไปสู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืนได้แล้ว

เมื่อทุกคนเริ่มตระหนักถึงวิถีชีวิตที่ยั่งยืน ประโยชน์แรกย่อมเกิดขึ้นกับตัวเรา เช่น การเลือกกินอาหารที่ดี ช่วยกันลดการสร้างมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม เราเองจะได้รับสุขภาพที่ดีและแข็งแรงเป็นสิ่งตอบแทน นอกจากนี้ยังส่งต่อไปยังโลกที่น่าอยู่ขึ้น ลดภาวะโลกร้อนหรือปัญหาขยะล้นโลก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันของพวกเรา จะช่วยสร้างแรงกระเพื่อมแห่งการเปลี่ยนแปลงให้ขยายกว้างใหญ่ออกไปในอนาคตได้

จักร์จิตร กล่อมสิงห์ เดินหน้าเรื่อง Collaboration เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ Sustainable Packaging

 

จักร์จิตร กล่อมสิงห์

เดินหน้าเรื่อง Collaboration เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ Sustainable Packaging

ธุรกิจในยุคสมัยใหม่ที่ความท้าทายเกิดขึ้นรอบด้าน การ Collaboration ถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ องค์กรต้องวางแนวทางให้เกิดขึ้นทั้งภายในองค์กร และกับคู่ค้าหรือลูกค้า เพื่อให้สามารถร่วมกันตอบโจทย์เทรนด์และสถานการณ์โลกปัจจุบันได้ วิธีการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของใจความสำคัญที่ พี่หนุ่ม – จักร์จิตร กล่อมสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กิจการบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ SCGP ได้หยิบยกมาแชร์ ใน P-DNA ฉบับนี้ นอกเหนือจากการแชร์แนวคิดการทำงาน เพื่อให้น้อง ๆ พร้อมสำหรับทุกโอกาสและความท้าทายที่เข้ามา

ยึดหลักความเป็นจริงในการทำงาน

จากเส้นทางของพี่หนุ่มที่ยาวนานมาตั้งแต่ปี 2532 หลังจากเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล เขาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์และการคว้าโอกาสเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทุก ๆ 2-3 ปี พี่หนุ่มจะได้รับมอบหมายให้ย้ายไปประจำตามโรงงานต่าง ๆ ของ SCGP ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รับผิดชอบดูแลงานผลิต งานซ่อมบำรุง งานเทคนิคในกระบวนการผลิต ไปจนถึงโครงการขยายกำลังผลิตต่าง ๆ ก่อนจะขยับมาดูเรื่อง Business Development จนกระทั่งเติบโตในหน้าที่การงานสู่สายงานบริหาร

“หลักในการบริหารงานที่พี่ใช้มาตลอดตั้งแต่ยังเป็นวิศวกรเลยคือ ใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงในการทำงาน และคอนเซปต์ 3G ของญี่ปุ่น GENBA GENBUTSU และ GENJITSU หมายถึงการทำอะไรก็แล้วแต่ ให้ไปดูของจริง ที่สถานที่จริง ด้วยวิธีการปฏิบัติและวิธีการแก้ไขที่เป็นจริง

“ขณะเดียวกัน พี่จะพยายามคิดบวก เชื่อว่าทุกอย่างเราทำได้ ถ้าทำแล้วได้ผลไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ พี่จะไม่มองว่ามันล้มเหลว แต่จะกลับมาดูว่ามีจุดไหนที่ยังแก้ไขหรือพัฒนาได้ หาโซลูชัน หาแผนใหม่แล้วทำซ้ำ ถ้าบางครั้งมันล้มเหลวจริง ก็ต้องยอมรับ ไม่โทษใคร เปลี่ยนมาช่วยน้อง ๆ หาโซลูชันใหม่ที่รอบคอบกว่าเดิมขึ้นแทน

“การบริหารงานควบคู่กับบริหารคนก็มีความสำคัญมาก หลาย ๆ ธุรกิจที่พี่ไปบริหารมาจากการ Joint Venture เราต้องมีความเป็นธรรมและสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดซึ่งกันและกัน ถึงจะทำงานเป็นทีมได้ เมื่อครั้งที่ไปบริหารงานโรงงานกล่องที่ปราจีนบุรี มีพี่ท่านหนึ่งบอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองนะ เพราะเรามีทีม เรามีคนที่คอยช่วยเหลือ ร่วมมือกัน ก็เลยเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดไปเลย การทำงานคนเดียวไม่สามารถทำได้สำเร็จ ต้องเรียนรู้เรื่องคน และการทำงานร่วมกับคน เวลาไปที่ใหม่ ก็ต้องเรียนรู้ในการปรับตัว การพัฒนาตัวเองของพี่ส่วนหนึ่งเกิดมาจากการเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่และปรับตัวอยู่ตลอด จะติดอยู่อย่างเดิมไม่ได้ บางทีไปต่างประเทศอาจจะเจอวัฒนธรรมใหม่ด้วย ก็ต้องเปิดใจเรียนรู้ไปกับทีม จึงจะสามารถทำงานให้สอดคล้องกันและพัฒนาไปด้วยกันได้”

เดินหน้าเรื่อง Collaboration เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ Sustainable Packaging

“เรื่องสังคมคาร์บอนต่ำ การลดโลกร้อน ลดการปล่อยคาร์บอน การใช้พลังงานสะอาด ลดการใช้วัตถุดิบ การใช้ซ้ำ สามารถนำมารีไซเคิลได้ (3R) สิ่งเหล่านี้คือ เทรนด์ของ Sustainable Packaging ที่ลูกค้าของเราหลายรายกำหนดเป็นนโยบายในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน รวมถึงมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ที่สหภาพยุโรป (EU) กำหนดให้ผู้ที่ทำธุรกิจหรือส่งของข้ามประเทศไปที่ยุโรป ต้องจัดทำรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต และซื้อใบรับรอง CBAM (CBAM Certificate) ซึ่งเปรียบเสมือนการเก็บภาษีเพิ่มตามปริมาณการปล่อยคาร์บอน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้คือ ความท้าทายที่เราต้องเร่งหาทางบริหารจัดการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า

“พี่จึงแยกกลยุทธ์ออกเป็น 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ การ Collaborate ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อสนับสนุนลูกค้าของ SCGP ที่ต้องการตอบโจทย์เทรนด์เรื่องสิ่งแวดล้อม และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ไปด้วยกัน ทุกวันนี้เราคำนวณค่าเฉลี่ย Carbon Emissions ในทุกกระบวนการผลิตของทุกโรงงาน โดยร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และกำลังจัดทำระบบที่สามารถ Declare ได้ว่า Packaging ที่ลูกค้าเลือกใช้มีค่า Carbon Emissions เท่าไร ขณะเดียวกันก็ดูว่า SCGP จะช่วยสนับสนุนลูกค้าได้อย่างไรอีก เช่น โซลูชันที่ลดการใช้วัตถุดิบ หรือการนำเสนอสินค้าที่ทำจากกระดาษและสามารถรีไซเคิลได้

“ยกตัวอย่าง Clixpak บรรจุภัณฑ์รวมหน่วยกระป๋องเครื่องดื่มที่ผลิตจากกระดาษแผ่นเดียว ด้วยคุณสมบัติของกระดาษและการออกแบบ ทำให้บรรจุภัณฑ์มีความแข็งแรง รับน้ำหนักได้ดี หยิบจับสะดวก สามารถหิ้วแพคเครื่องดื่มด้วยมือเดียว และง่ายต่อการคัดแยกเพื่อนำไปรีไซเคิล หรือการพัฒนาสินค้าร่วมกับลูกค้า ดิไซเนอร์ก็ต้องช่วยออกแบบให้ใช้วัตถุดิบน้อยลง ซึ่งการออกแบบแพคเกจจิ้งเหล่านั้นก็จะถูกซัปพอร์ตด้วยทีมผลิตอีกที เพราะฉะนั้นการ Collaborate มันเกิดขึ้นทุกส่วน

“เรื่องที่สองคือ การสร้าง Awareness เรื่องความยั่งยืนให้พนักงาน มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีการใช้วัตถุดิบน้อยลง มีการเอาพลังงานสะอาดเข้ามาใช้ ปัจจุบันกิจการบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ SCGP ในประเทศไทยทั้งหมดนำ Solar Roof มาใช้ เอารถฟอร์กลิฟต์ไฟฟ้า (EV Forklift) มาใช้แทนรถแก๊สและน้ำมัน รถฟอร์กลิฟต์ในโรงงานเป็น EV ทั้งหมดแล้ว และกำลังศึกษาเรื่องการนำ Biomass เข้ามาใช้ในธุรกิจ

“เรายังคงเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่ม Yield ลด Loss ลดการใช้วัตถุดิบ ส่งผลให้ใช้พลังงานน้อยลง การปล่อย Carbon Emissions น้อยลงตามไปด้วย เพื่อให้สินค้าสามารถตอบโจทย์เทรนด์ Sustainable Packaging ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ ๆ ของลูกค้า และธุรกิจเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน”

ยืดหยุ่น เตรียมพร้อม คว้าโอกาสใหม่ ๆ เสมอ

“ทุกวันนี้เราขยายธุรกิจไปในหลายภูมิภาคแล้ว สิ่งสำคัญที่อยากจะฝากน้อง ๆ คือ ต้องรู้จักปรับตัว ย้ายตัวเองไปทำงานที่ไหนก็ได้ ออกจากกรอบเดิม ๆ ได้เสมอ เราควรยินดีที่ได้ไปทำงานในพื้นที่อื่นที่ไม่ใช่แค่ในออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็นต่างจังหวัดหรือต่างประเทศก็จะทำให้เราได้ประสบการณ์ ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย

“ตอนนี้บริษัทอยู่ในช่วงเติบโต อยากให้น้อง ๆ เตรียมตัวให้พร้อมทั้งเรื่องความรู้และความสามารถ ไม่ว่าจะทางด้าน Functional หรือด้านการเป็นผู้นำ เพราะการเติบโตขององค์กรต้องมีเครื่องมือ นวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามา และโอกาสก็มีเข้ามาเสมอ น้อง ๆ ต้องพร้อมที่จะคว้าเอาไว้

“พี่เชื่อว่า ความโชคดีคือส่วนผสมของโอกาสกับความพร้อม การเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อโอกาสมา และจะดีกว่าถ้าเราเสาะหาโอกาสด้วย พี่มีโอกาสได้ไปทำงานหลายที่ แต่ก็เป็นลักษณะของการถูกเลือก แต่การเติบโตของบริษัทก็อาจจะมีเรื่องอาสาสมัครเพื่อไปทำงานในพื้นที่ท้าทายมากขึ้น ไม่ว่าโอกาสจะมาแบบไหน เราก็ต้องพร้อมเติบโตไปในอนาคต และอย่าลืมว่า ในการเติบโตนั้น การมีภาวะความเป็นผู้นำสำคัญมาก เป็นสิ่งที่คนคนนั้นควรต้องมีเพิ่มเติม นอกเหนือจากทักษะทางด้าน Functional ที่แต่ละคนมี พี่ก็อยากให้น้อง ๆ เตรียมตัวไว้ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่อยากจะฝากเอาไว้นะครับ”

สร้างภาพลักษณ์ใหม่ บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางศิริราช

สร้างภาพลักษณ์ใหม่ บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางศิริราช

 

ทุกคนคงรู้จักโรงพยาบาลศิริราชในฐานะสถาบันการแพทย์ในระดับสากลที่มุ่งมั่นยกระดับด้านสุขภาพให้กับประชาชนไทยมาอย่างยาวนาน แต่อาจจะยังไม่ทราบมาก่อนว่า โรงพยาบาลศิริราชได้ต่อยอดองค์ความรู้ไปสู่การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางภายใต้ลิขสิทธิ์ของโรงพยาบาลศิริราชและผ่านการจัดจำหน่ายโดย “บริษัทศิริราชบำรุงเวช” ภายใต้การดูแลของศิริราชมูลนิธิ ที่ปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมอยู่ไม่น้อย ซึ่งเร็ว ๆ นี้บริษัทศิริราชบำรุงเวชได้ร่วมมือกับ SCGP ในการสร้างภาพลักษณ์กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางครั้งใหญ่ โดยตั้งเป้าให้การพลิกโฉมครั้งนี้ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจในตัวผลิตภัณฑ์ และขยายกลุ่มลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้นได้ในอนาคต

เครื่องสำอางที่คิดค้นเพื่อคนไทย

ศ. ดร. นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ให้เกียรติมาเปิดเผยเรื่องราวการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางภายใต้ลิขสิทธิ์ของโรงพยาบาลศิริราชและจัดจำหน่ายโดย “ศิริราชบำรุงเวช” ให้ทุกคนได้รู้จักมากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มารับบริการด้วยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญแล้ว ยาและเวชภัณฑ์ยังนับเป็นอาวุธในการรับมือกับอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ อีกด้วย

“ยาและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับให้ผู้ป่วยใช้ เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยปกติเรานำเข้ายาจากต่างประเทศค่อนข้างเยอะ แต่ก็มียาและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอีกกลุ่มหนึ่งที่ศิริราชต้องผลิตขึ้นเองเพื่อตอบสนองต่อกลุ่มผู้ป่วยบางกลุ่มอย่างเฉพาะเจาะจง ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่เกือบ 20 ปีก่อน โดยฝ่ายเภสัชกรรมฯ ร่วมกับอาจารย์แพทย์ผู้ทำการรักษาผู้ป่วย”

จากก้าวแรกในการใช้รักษาผู้ป่วยกลุ่มเล็ก ๆ ผ่านการพิสูจน์ผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม จนทำให้โรงพยาบาลศิริราชได้ต่อยอดองค์ความรู้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพชนิดต่าง ๆ มากมาย ทั้งกลุ่มที่เป็นยารักษาโรค รวมถึงกลุ่มเครื่องสำอาง

“เรามีครีม โลชั่น สบู่ แชมพูต่าง ๆ รวมไปถึงครีมทากันแดดที่ไม่ใช้สารเคมี (Physical Sunscreen) ที่ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินที่เข้ารับการฉายแสงอาทิตย์เทียมก็สามารถใช้ได้ หรือผู้ป่วยที่ต้องการใช้ยาสระผมสูตรอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เรายกระดับการตอบสนองต่อผู้ป่วยที่มีปัญหาของโรคในหลายระดับและมีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ตรงกับความต้องการของแพทย์และผู้ป่วยให้มากที่สุดในราคาที่เหมาะสม”

ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด

ด้วยผลลัพธ์การใช้งานที่ดีในกลุ่มผู้ป่วยของโรงพยาบาล มีการพูดถึงแบบปากต่อปากไปสู่ประชาชนทั่วไป ทำให้มีความต้องการมากขึ้น จากเดิมที่มีผลิตภัณฑ์เพียงไม่กี่รายการ ในวันนี้บริษัทศิริราชบำรุงเวชมีรายการสินค้า มากกว่า 10 รายการ และกำลังพัฒนาอีกหลายผลิตภัณฑ์ เพื่อออกจำหน่ายสู่ท้องตลาด โดยผลิตภัณฑ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่  1. เครื่องสำอางที่ผ่านการจดแจ้งกับกองควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประชาชนสามารถซื้อใช้เองได้อย่างปลอดภัย 2. ยาหรือเครื่องสำอางที่ต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ก่อนใช้

“เราไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องการทำธุรกิจเป็นหลัก ความตั้งใจของเราคือ การส่งมอบผลิตภัณฑ์ดี ๆ ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าเห็นผลให้ประชาชนได้ใช้ ในช่วงต้นเราผลิตเองในโรงพยาบาลได้จำนวนจำกัด เมื่อมีความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ ผิวพรรณ หรือการดูแลตัวเอง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจจำนวนมาก เราจึงขยายการผลิตด้วยโรงงานรับจ้างผลิตที่มีมาตรฐานสูง และควบคุมให้ได้คุณภาพของโรงพยาบาลอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกันในกลุ่มยาเรายังคงผลิตอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้สำหรับผู้ป่วยเฉพาะโรคที่ไม่มีบริษัทยาผลิต แม้ว่าจะใช้จำนวนน้อยและไม่ตอบโจทย์ในแง่ธุรกิจ”

Rebranding ขยายฐานลูกค้าเก่า มัดใจลูกค้าใหม่

“ปัจจุบันการจำหน่ายสินค้ามีเรื่องต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป เราก็ควรต้องปรับเปลี่ยนตาม เพราะเมื่อมีสินค้าที่คุณภาพดีแล้ว ต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้รู้จักและเข้าถึงได้ด้วย เมื่อเขาได้ใช้ผลิตภัณฑ์เรามากขึ้น ทำให้เราหันมาสนใจในเรื่องตราสินค้า เรื่องบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีความสำคัญมากในยุคสมัยนี้ ตัวอย่างหนึ่งในอดีต เรามี Soft Care Plus ที่มีบรรจุภัณฑ์เป็นลักษณะฝาเกลียว หมุนเปิดออกแล้วบีบ หรือแชมพูที่ฝาขวดเป็นแบบเปิดปิด ยังไม่ค่อยสะดวกเท่าไร ทั้งที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีและคนนิยมมากจนแทบจะผลิตไม่ทัน เราเลยหาพาร์ตเนอร์เข้ามาช่วยวิเคราะห์ ให้คำแนะนำถึงการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น และเก็บรักษาสินค้าได้อย่างคงทน ซึ่งเราให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะในอนาคตเรายังมองความต้องการของผู้บริโภคในผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และจะมีผลิตภัณฑ์ที่ดี ปลอดภัยต่อการนำไปใช้ ออกมาให้ประชาชนเพิ่มมากขึ้น”

พาร์ตเนอร์ธุรกิจที่แก้ไขปัญหาอย่างรู้ใจ

“เรามองว่ามีเพียง SCGP เท่านั้นที่สามารถตอบโจทย์นี้ให้กับเราได้ และเชื่อว่าจะเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญของผลิตภัณฑ์เรา SCGP เข้ามาช่วยออกแบบให้สวยงาม น่าใช้ แต่ยังคงความน่าเชื่อถือ และเป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น ทั้งตราสินค้า โลโก้ และการจัดวางลวดลายบนผลิตภัณฑ์ดูเข้ากัน เป็นธีมเดียวกันหมดทุกผลิตภัณฑ์

“ระหว่างการทำงาน สิ่งที่ทางเราประทับใจมากคือ SCGP มีขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน เข้าใจความต้องการของลูกค้าและกลุ่มเป้าหมาย การพูดคุยประสานงานกันก็ราบรื่นเหมือนเคยทำงานกันมานาน SCGPพยายามทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ นำข้อมูลของเราไปวิเคราะห์ สังเคราะห์ออกมา เหมือนกับ SCGP รู้ว่าพวกเราคิดอะไร และกำลังต้องการอะไร จนกลายเป็นแบรนด์ที่พวกเราทุกคนถูกใจมาก แล้วก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าประชาชนก็น่าจะชอบเหมือนกัน และผมรู้สึกว่างานของพวกเรายังไม่จบแค่นี้ เรายังวางแผนร่วมมือกับ SCGP ในการทำบรรจุภัณฑ์รูปแบบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำกล่อง หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการแพทย์ที่เราจำเป็นต้องใช้ในอนาคตอีกอย่างแน่นอน

“ช่องทางการจำหน่ายสินค้าในปัจจุบันนอกจากที่หน้าร้านแล้ว ประชาชนทั่วไปยังสามารถเลือกชมและสั่งซื้อสินค้าของศิริราชบำรุงเวชโดยตรงทาง Official Website (www.sirirajbrv.com) รวมถึงตามแพลตฟอร์ม E-Commerce ต่าง ๆ ได้ด้วย เราคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะหันกลับมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาโดยคนไทยเอง ไม่จำเป็นต้องสั่งซื้อมาจากต่างประเทศ ทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายและสร้างเงินหมุนเวียนภายในประเทศให้มากขึ้นทางหนึ่งด้วยครับ” คุณหมอยงยุทธกล่าวทิ้งท้าย

 

การตลาดในปี 2024 ปีแห่งความท้าทาย และต้องปรับแบบปลาหมึกยักษ์

 

การตลาดในปี 2024 ปีแห่งความท้าทาย และต้องปรับแบบปลาหมึกยักษ์

 

Your Answers ฉบับแรกของปีมังกร จะพาทุกคนไปฟันธงการตลาด 2567 โดย ผศ. ดร.เอกก์ ภทรธนกุล ที่วิเคราะห์ข้อมูลที่มาบอกเล่าเหมือนเช่นเคย โดย อ.เอกก์ฉายภาพรวมด้านเศรษฐกิจและการตลาดที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปี 2024 นี้ว่าเป็นปีที่ “ท้าทายอย่างยิ่ง” และองค์กรต้องพร้อมในการปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างรวดเร็วเป็นทวีคูณ เพราะถึงแม้จะเปลี่ยนได้ แต่เปลี่ยนช้า ก็อาจไม่ทันการณ์

ภาพรวมเศรษฐกิจ อุปสรรค และทางออก

เมื่อเริ่มถามถึงภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก อ.เอกก์ได้ให้คำตอบในเรื่องนี้ว่า “เป็นปีที่ยากลำบากและท้าทาย” ก่อนจะขยายความต่อถึงการเก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาด (Chief Marketing Officer – CMO) ขององค์กรชั้นนำทั่วประเทศ 121 ท่าน โดยสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ในปี 2024 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจเติบโตยาก โดยมีตัวเลขคาดการณ์อยู่ที่ 1.33 เปอร์เซ็นต์ หรือระดับที่ฝืดเคืองมาก ขณะเดียวกันยังมีการยืนยันด้วยว่า แทบจะไม่มีการเพิ่มงบประมาณด้านการตลาดในปีนี้ โดยมีค่าเฉลี่ยของการเพิ่มงบประมาณด้านดังกล่าวอยู่เพียง 2.99 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อุปสรรคทางธุรกิจในปีหน้าเกิดจากปัจจัยสามเรื่องหลัก ๆ ด้วยกันคือ 1. สงคราม ที่เกิดขึ้นในหลายรูปแบบและหลายพื้นที่ 2. เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายที่กำลังจะเพิ่มขึ้น ตลอดจนความเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบหลายอย่าง และ 3. อุตสาหกรรมต่าง ๆ เริ่มตัดงบลงทุน ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเกิดการชะลอตัว อย่างไรก็ดี อ.เอกก์แสดงทัศนะว่า ยังมีธุรกิจในประเทศอยู่ 3 กลุ่ม ที่ดูจะมีแสงแห่งโอกาสมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ โดยทุกธุรกิจควรเชื่อมโยงเข้าหา 3 กลุ่มธุรกิจดังต่อไปนี้ เพื่อช่วยให้เกิดผลดีมากที่สุด

  • ธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของภาครัฐที่เตรียมผลักดันมากขึ้นอีก เนื่องด้วยเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ดีนัก ขนาดของกระเป๋าเงินจึงเล็กลงตาม นักท่องเที่ยวทั่วโลกจะเลือกจุดหมายปลายทางที่ดี มีความคุ้มค่า และราคาไม่สูงเกินไปนัก ซึ่งเมืองไทยตอบโจทย์ในเรื่องดังกล่าวโดยตรง
  • ธุรกิจสุขภาพ ทั้งกลุ่ม Wellness, Prevention และ Recovery มีการศึกษาพบว่า ปี 2024 นี้จะเป็นปีที่ Health is the new wealth เนื่องจากโควิด 19 ผ่านไป ก็มีโรคอื่น ๆ ระบาดขึ้นตามมา เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B เป็นต้น ดังนั้นเรื่องสุขภาพจะเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญมากขึ้นอีก ในทุกธุรกิจ ควรเสริมเรื่องสุขภาพเพิ่มเข้าไป อ.เอกก์ให้ตัวอย่างธุรกิจผ้าย้อมครามที่สกลนคร ที่นอกจากจะมีสีสันสวยงามแล้ว ยังนำเสนอคุณสมบัติที่ป้องกัน UV ได้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ช่วยลดรอยเหี่ยวย่น ลดอันตรายจากมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากรังสี UV ด้วย
  • ธุรกิจเทคโนโลยี จะยังคงเป็นดาวเด่นต่อ โดยมี 3 เทคโนโลยีที่มีความสำคัญและน่าจับตามอง ได้แก่ 1. AI ปัญญาประดิษฐ์ 2. IoT (Internet of Things) เช่น สินค้าแบรนด์ Xiaomi ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ไม่ว่าจะเป็นแปรงสีฟัน เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องชั่งน้ำหนัก ที่ทำให้ผู้คนสะดวกสบายและเก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น และ 3. Robotics จะเป็นตัวนำในธุรกิจกลุ่มนี้

การตลาดต้องตรงเป้าหมายและใช้ทุนให้น้อยที่สุด

ในช่วงเวลาแบบนี้กลยุทธ์การตลาดแบบ Precision Marketing หรือการตลาดแบบเจาะจง ที่ตรงจุด ตรงใจ คือทางออก หากแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะนอกจากตรงจุดแล้ว ธุรกิจยังต้องนำแนวทาง Low-cost Marketing มาลดต้นทุนทางการตลาดให้ได้มากที่สุด

ในปัจจุบันมีเครื่องมือทางการตลาดใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย นักการตลาดต้องตั้งวัตถุประสงค์เอาไว้ และต้องหาเครื่องมือใหม่ที่ทำให้ไปถึงวัตถุประสงค์นั้นในต้นทุนที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น การใช้ AI มาช่วยในเรื่องการทำการตลาด อย่างเอสเอ็มอีสามารถนำ  AI Chatbot ที่มีความสามารถโต้ตอบได้เหมือนพนักงานที่เป็นคน มาใช้ในการตอบคำถามลูกค้า ลูกค้าสามารถสอบถาม และได้รับคำตอบที่ดี รวมถึงปิดการขายได้โดยที่ไม่ต้องไปตอบเอง สามารถขายสินค้าได้แม้กระทั่งเวลานอนและตื่นมารับเงินตอนเช้า ไม่ต้องจ้างคนราคาแพง หรือการใช้เครื่องมืออย่าง Midjourney ในการสร้างรูปภาพและสามารถนำมาใช้งานได้อย่างถูกกฎหมาย การใช้ Canva ในการออกแบบโปสเตอร์โฆษณาสินค้า รวมถึงใช้ Rytr.me ช่วยเขียน Caption ขายสินค้าที่น่าสนใจ เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของเครื่องมือชั้นเยี่ยมที่ทุกธุรกิจสามารถเข้าถึงและนำมาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจได้ทั้งสิ้น เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการตลาดให้น้อยลงแต่ให้ผลเหมือนเดิม

จะรอดได้ต้องมี “ทักษะแบบปลาหมึกยักษ์”

อ.เอกก์ได้เปรียบเทียบระหว่างแนวคิดขององค์กรกับทักษะแบบปลาหมึกยักษ์ สิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่อยู่บนโลกมายาวนาน ข้ามผ่านการสูญพันธุ์มาได้ทุกครั้งมีสมองขนาดใหญ่ และสามารถปรับเปลี่ยนร่างกายให้กลมกลืนไปกับก้อนหินหรือปะการัง นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ดีและรวดเร็ว ฉะนั้นปี 2024 จะเป็นปีที่ธุรกิจต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและใช้สมองเยอะมากถึงจะอยู่รอดได้ โดยมีแนวคิดสำคัญ 5 ข้อด้วยกั

ESG in Everyday Life

ESG in Everyday Life

ด้วยแนวคิดเรื่อง ESG ในระดับองค์กรที่ SCGP มุ่งเน้นคิดค้นและดำเนินโครงการดี ๆ มากมายที่สร้างประโยชน์แก่สังคม ตลอดจนการเสริมความตระหนักรู้ในวิธีคิดของคนในองค์กร วันนี้เราชวน 2 วิศวกรจากโครงการ Recycled Plastic Pellet โรงงานวังศาลา ซึ่งเป็นโครงการที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศษพลาสติกเหลือใช้จากกระบวนการผลิตกระดาษ มาร่วมแชร์วิธีคิดและแนวทางการทำงานที่เป็นส่วนเล็ก ๆ ที่สำคัญในการดูแลโลกของเราใบนี้ให้น่าอยู่ต่อไปในอนาคต

“ผมดูแลการก่อสร้าง ติดตั้งเครื่องจักร และประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งกับทีมวิศวกรโครงการ ทีมงานผลิต คู่ธุรกิจ รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง (Stakeholder) ทั้งหมด ซึ่งรายละเอียดของงานที่ทำจะเปลี่ยนไปตามโจทย์ หรือรูปแบบงานโครงการที่ได้รับมอบหมาย

“ผมมองงานที่ต้องรับผิดชอบเป็นความท้าทาย ไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไรก็ตาม อยากจะทำให้สำเร็จ เช่น โครงการที่ทำตอนนี้ เราก็ไม่เคยจับงานในลักษณะนี้มาก่อน คนละแบบกับที่เราคุ้นเคย แต่เราก็คิดว่าต้องทำให้ออกมาดีที่สุด ต้องมีวิธี ต้องมีทางออก ระหว่างทางตั้งแต่วันแรกที่เข้ามารับผิดชอบ เราก็ค่อย ๆ แก้ข้อจำกัดทีละประเด็นไป จนงานสำเร็จ

“แรงบันดาลใจในการทำงานมาจากความสุขที่จะได้เจอกับเรื่องใหม่ ๆ อาจมีอุปสรรคเข้ามาบ้าง เราก็หาทางแก้ไข เวลาเจออุปสรรค ผมว่าสิ่งที่สำคัญคือ คนรอบตัว ทีมเวิร์ก และหัวหน้า ที่ให้คำปรึกษา รวมถึงบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ดี ทุกอย่างจะช่วยให้เราก้าวข้ามอุปสรรคหรือข้อจำกัดต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี

“โครงการที่ทำอยู่ตอนนี้ตอบโจทย์เรื่อง ESG โดยตรง ตั้งแต่ได้รับผิดชอบงานนี้ มีการเรียนรู้มาเรื่อย ๆ ทำให้เราซึมซับงานที่ทำ ได้คิดถึงผลกระทบมุมมองการทำเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม และโลกของเรา สิ่งเหล่านี้นำไปปรับใช้ในการทำงานเรื่องอื่น ๆ หรือชีวิตประจำวันได้ด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การคัดแยกขยะ ทำให้สามารถจัดการขยะได้อย่างถูกวิธีการใช้รถยนต์พลังงานทางเลือก ที่ลดการกำเนิดมลพิษ และดูแลสิ่งแวดล้อมได้ในเวลาเดียวกัน”

สรายุ พลพิทักษ์ (โอ๊ต) – Engineer – Recycling and Water Management Technology

 

“การทำงานต้องประสานงานกับแต่ละหน่วยงานค่อนข้างเยอะ อันดับแรกคือ เราต้องรู้ก่อนว่าหน้าที่ของเราคืออะไรบ้าง Mindset แรกคือ พยายามรับผิดชอบหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด พยายามทำความเข้าใจแต่ละหน่วยงานว่าเขาต้องการอะไร และเราสามารถ Support จุดไหนในขอบเขตของเราได้บ้าง สามารถทำอะไรให้ประสานงานได้ราบรื่นขึ้นบ้าง

“บริษัทค่อนข้างเปิดโอกาสให้ได้คิด ได้ทำ สนับสนุน และผลักดันเรื่อง ESG เป็นอย่างมาก ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา เราเลยสนุกกับงานอยู่ตลอด ไม่เคยเบื่อ เพราะได้ทำสิ่งที่ตรงกับความสนใจของเรา ยิ่งพอมีธุรกิจ Recycling เข้ามา ก็ทำให้เราเรียนรู้ต่อไปได้อีก

“แนวคิด 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ตลอด อย่างการคัดแยกขยะเพื่อให้ง่ายต่อการนำกลับมารีไซเคิล และการลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็นอื่น ๆ และสิ่งที่เพิ่มขึ้นจากแนวคิดนี้คือ เราในฐานะผู้บริโภคที่เลือกซื้อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และบริการ ก็เริ่มให้ความสำคัญกับบริษัทที่ใส่ใจต่อการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย ถ้ามีโอกาสเราก็จะเลือกสนับสนุนบริษัทที่เขาทำเรื่องดี ๆ เหล่านี้ เพราะเรารู้แล้วว่า การจะเปลี่ยนสังคมต้องเริ่มที่ตัวเรา”

วรรณชนก สกุลดาราชาติ (โอปอล) – Engineer – Recycling and Water Management Technology

 

“ศิริราช” เครื่องสำอางของคนไทย ในบรรจุภัณฑ์ลุคใหม่ เพิ่มความสะดวก ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกกลุ่ม

หากให้เอ่ยถึงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและมีราคาจับต้องได้ ศิริราชเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทุกคนจะต้องนึกถึง 

 

เดิมทีผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ “ศิริราช” เป็นสูตรเฉพาะของโรงพยาบาลขึ้น ในการดูแลผู้ป่วยที่มาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยเริ่มผลิตครั้งแรกเมื่อปี 2548 ภายใต้ลิขสิทธิ์ของโรงพยาบาลศิริราช เช่น แชมพูสำหรับผู้มีปัญหาหนังศีรษะ ครีมกันแดดที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี เป็นต้น ส่งผลให้ในเวลาต่อมา “ศิริราช” ทำการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับประชาชนทั่วไป และสร้างยอดขายต่อเนื่องทั้งในส่วนของหน้าร้านรวมถึงช่องทางออนไลน์ ถึงขนาดต้องทำการสั่งจองกันล่วงหน้า หากอยากมีผลิตภัณฑ์ของ “ศิริราช” ไว้ในครอบครอง

 

จุดเริ่มต้นของโปรเจกต์
โรงพยาบาลศิริราช มีความประสงค์ที่จะผลักดันผลิตภัณฑ์ของศิริราชให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ภายใต้แรงบันดาลใจ “เมื่อหยิบขึ้นมาใช้นแล้วรู้สึกมั่นใจ และสะดวกสบาย” แต่ยังคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ คุณภาพ และราคาที่ทุกคนสามารถจับจองได้

 

ผ่านการระดมสมองร่วมกัน
ตอนแรก “ศิริราช” ปรึกษากับทีมผู้ออกแบบจาก SCGP เพื่อเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์สินค้าตัวชูโรง (Hero Product) 
หลังจากทีมผู้ออกแบบของ SCGP ได้ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านการลงพื้นที่และสอบถามผู้ซื้อจริง ทำให้ SCGP เล็งเห็นโอกาสที่จะยกระดับผลิตภัณฑ์ของ “ศิริราช” และเสนอให้ทำการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ 
ขณะเดียวกัน ศิริราชได้ให้ SCGP ร่วมคิดร่วมพัฒนาได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นที่มาของโปรเจกต์ความร่วมมือครั้งนี้ โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ทีมผู้ออกแบบจาก SCGP และ ศิริราช ได้ปรับเปลี่ยนให้เข้าถึงทุกกลุ่ม, เพิ่มความสะดวกต่อการใช้งาน, เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญคือต้องคงคุณภาพของเครื่องสำอาง

 

เริ่มลงมือ
SCGP เริ่มจากการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีทั้งเวอร์ชันภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยนำตัว “S” มาจัดวางให้เป็นตัวอักษร “ศ” ผ่านการใช้เทคนิค Perfect Balance Shape พร้อมกับสีฟ้าอ่อนที่ดูสุขุม นุ่มนวล แต่เข้าถึงง่าย ใช้ง่าย สีประกอบคือสีเทาอ่อนโทนสะอาด เพื่อทำให้สีสันของภาพรวมกลมกล่อมและดูสะอาดสดชื่น เข้ากับผลิตภัณฑ์ของศิริราชได้เป็นอย่างดี

ขั้นตอนต่อไปคือการเข้าไปปรึกษากับ Conimex ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ใน SCGP เพื่อเลือกบรรจุภัณฑ์ชั้นใน (Primary packaging) ใหม่ให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของ “ศิริราช”

 

ทีมผู้ออกแบบของ SCGP และ Conimex ได้ใช้เทคนิคการพิมพ์ลายแบบพิเศษเพื่อเพิ่มความโดดเด่นและไม่เหมือนใคร ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมจนเกินไป เพราะคำนึงถึงกลุ่มผู้บริโภคที่มีความภักดีต่อแบรนด์ “ศิริราช”
นอกจากนี้ ยังเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน ได้แก่ Monomaterial ที่มาจากพลาสติกที่ทนทานต่อการใช้งานได้ดี โดยผลิตจากเม็ดพลาสติกที่มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ ช่วยลดความหนาของบรรจุภัณฑ์ ลดการใช้ทรัพยากรและลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้

 

และยังมีการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ขั้นที่สอง (Secondary packaging) เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคอยากซื้อสินค้ามากขึ้นผ่านการออกแบบที่สวยงาม สะดุดตาและแน่นอนว่าบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่งสินค้า (Tertiaty packaging) ของ “ศิริราช” ทั้งหมดก็ถูกพัฒนาให้มีความแข็งแรง ทนทานมากขึ้น เหมาะกับการขนส่ง และขายผ่าน E-commerce ด้วยเช่นกัน

SCGP ครอบคลุมทุกขั้นตอนการผลิตบรรจุภัณฑ์
จะเห็นได้ว่าตั้งแต่กระบวนการแรกที่ SCGP เข้ามารับหน้าที่รีแบรนด์ให้แก่ “ศิริราช” สิ่งที่ SCGP ตั้งมั่นไม่ใช่เพียงแค่พัฒนาสินค้า 
แต่ SCGP คิดครอบคลุมถึงประสบการณ์การใช้งานของผู้บริโภค ด้วยพื้นฐานการทำงานแบบ Proactive ตอบสนองทุกความต้องการของทุกคนในทุกมิติ 

 

ผู้ประกอบการรายใดที่สนใจอยากมีผู้ดูแลและคอยให้คำปรึกษาเรื่องบรรจุภัณฑ์สินค้า ตั้งแต่การคิดไอเดีย การผลิต การใช้งาน ไปจนถึงการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งซื้อขนาดเล็กหรือปริมาณมาก SCGP พร้อมให้บริการและโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณ
 

SCGP ปิดดีลถือหุ้นร้อยละ 70 ใน Starprint Vietnam JSC รุกบรรจุภัณฑ์กระดาษพรีเมียมคุณภาพสูงในอาเซียน

SCGP ปิดดีลเข้าถือหุ้นร้อยละ 70 ใน Starprint Vietnam JSC ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษพรีเมียมคุณภาพสูงในประเทศเวียดนาม ที่มีฐานลูกค้าหลักเป็นบริษัทระดับชาติและระดับโลก เพิ่มศักยภาพการให้บริการบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในอาเซียน

 

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ได้เข้าถือหุ้นร้อยละ 70 ใน Starprint Vietnam JSC (SPV) แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เพื่อรุกขยายฐานบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษแข็งแบบพับได้ (Offset Folding Carton) ในประเทศเวียดนามที่มีศักยภาพเติบโตสูง รองรับตลาดในเวียดนามและภูมิภาคอาเซียน โดยการลงทุนดังกล่าวได้ดำเนินการผ่าน SCGP Solutions (Singapore) Pte. Ltd. (SCGPSS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCGP ถือหุ้นทั้งหมด ใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 676.08 พันล้านเวียดนามดอง หรือประมาณ 987.07 ล้านบาท และจะเริ่มแสดงผลประกอบการของ SPV ในงบการเงินรวมตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ บริษัทสตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ Starflex ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) ชั้นนำที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย ถือหุ้นร้อยละ 25 ใน SPV และผู้ถือหุ้นเดิมของ SPV จะถือหุ้นร้อยละ 5 หลังจากการทำธุรกรรมครั้งนี้เสร็จสิ้น

 

SPV ถือเป็นผู้ผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์แบบพับได้ชั้นนำในประเทศเวียดนาม มีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ด้วยระบบพิมพ์แบบออฟเซ็ท  16,500 ตันต่อปี และกล่องบรรจุภัณฑ์แบบคงรูป 8 ล้านกล่องต่อปี จากฐานการผลิต 2 แห่งในนิคมอุตสาหกรรม Long Binh (Amata) ในจังหวัด Dong Nai ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม โดยมีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับชาติและระดับโลก ในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งในปี 2565 SPV มีรายได้ 1,013 พันล้านเวียดนามดอง หรือประมาณ 1,480 ล้านบาท มีกำไรรวมหลังหักภาษีประมาณ 92.5 พันล้านเวียดนามดอง หรือประมาณ 135 ล้านบาท และมีสินทรัพย์รวม 601 พันล้านเวียดนามดอง หรือประมาณ 885 ล้านบาท

 

“SPV จะเป็นฐานการผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์คงรูปคุณภาพสูง (Rigid Boxes) แห่งแรกในภูมิภาคอาเซียนของ SCGP และเป็นฐานการผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์แบบพับได้แห่งแรกในประเทศเวียดนามของ SCGP ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการให้บริการบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรของ SCGP ให้สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของฐานลูกค้าในประเทศเวียดนามและภูมิภาคอาเซียน และยังสนับสนุนการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างธุรกิจของ SCGP ที่ดียิ่งขึ้นในระดับภูมิภาค” นายวิชาญ กล่าว

กระเช้าปีใหม่สุดรักษ์โลก ล้านประโยชน์ SCGP Packaging New Year Hamper

นับถอยหลังสู่สิ้นปี เทศกาลแห่งการส่งต่อความสุขกำลังกลับมาอีกครั้ง ใครที่กำลังมองหาของขวัญให้กับคนสำคัญ เชื่อว่าในทุก ๆ สิ้นปีคุณจะเจอโจทย์ยาก 
 
“ซื้ออะไรดี” 
 
“อะไรจะเหมาะกับคนที่เราอยากให้”
 
“อยากซื้อของขวัญให้คนสำคัญแบบสวย ๆ แต่ก็มีประโยชน์ด้านการใช้สอยด้วย”
 
ปัญหานี้จะหมดไปเพราะกระเช้าปีใหม่จาก SCGP  โดยทีมนักออกแบบของ SCGP  ได้ออกแบบตัวกระเช้าของขวัญที่มีรูปทรงที่โดดเด่น สามารถพิมพ์ลวดลายที่สวยงามตามลูกค้าต้องการ ตอบโจทย์การ Customization ของผู้บริโภค คง Concept เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากตัววัสดุที่ใช้ทำจากกระดาษสามารถนำมาใช้งานต่อ เป็นการ upcycling อย่างแท้จริง รวมถึงสามารถนำไปย่อยสลายได้ง่ายตามกระบวนการ recycle นอกจากนี้ ทางทีมงานยังมีการใช้ตัวมือจับที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลนำมาถักทอโดยชุมชนบริเวณใกล้เคียงของโรงงาน ส่งเสริมอาชีพและรายได้ชุมชนอีกด้วย
 
โดยกระเช้าออกแบบมา 2 เวอร์ชัน คือ Cherish Hamper และ Splendid Hamper 
 
Cherish Hamper ออกแบบโดย ภูมิภัค พันธสี และณิชารีย์ เหรียญทอง เป็นกระเช้าแบบที่ไม่มีด้ามจับ รูปทรงออกแบบมาถูกใจวัยรุ่นและดูกะทัดรัด ซึ่งจริง ๆ แล้วตัว Cherish Hamper สามารถให้เป็นของขวัญได้ทุกโอกาส
 
ส่วน Splendid Hamper ออกแบบโดย อติกานต์ บุญประคอง และกฤชพร กุลรัตนรักษ์ ก็ตรงตามชื่อ คำว่า Splendid หมายถึงโอ่โถ่ง, อลังการ ยึดรูปทรงจากกระเช้าแบบเดิม แต่ออกแบบให้ดูทันสมัยมากขึ้น 
 
ซึ่งตัวกระเช้าทั้งสองเวอร์ชัน แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะต่างกัน แต่คุณสมบัติสมบูรณ์แบบเดียวกัน เพราะนอกจากจะมีประโยชน์ใช้ใส่สิ่งของที่นำมาจัดวางเป็นของขวัญแล้ว ยังสามารถแปลงเป็นเวิร์คสเตชันสไตล์มินิมอล เพียงแค่ถอดด้ามจับของกระเช้าออก คุณก็จะสามารถแยกตัวกระเช้าออกมาได้เป็น 3 ส่วน
 
ในส่วนตัวกล่องที่ใหญ่ที่สุดที่เป็นฐาน นำมาเป็นชั้นวางหนังสือได้ ด้วยตัวผลิตภัณฑ์ที่แข็งแรงที่สุดในบรรดา 3 ส่วน ประกอบกับการเจาะทำช่องเพื่อให้สอดมือจับยกเคลื่อนย้ายได้อย่าง สะดวก 
 
ขยับมาที่กล่องรองชั้นด้านใน นำมาเป็นที่ตั้งโน๊ตบุ๊ค หรือ แท็บเล็ตได้ เนื่องจากออกแบบมาในลักษณะชั้นครึ่ง สามารถตั้งชั้นโน๊ตบุ๊คได้ และสามารถวางคีย์บอร์ดไว้ที่ตัวฐานด้านล่างได้ด้วย 
 
และส่วนสุดท้ายกับกล่องชั้นบนสุดเมื่อแยกออกมาจะกลายเป็นกล่อง เก็บของที่มีฝาปิดแบบเป็นระเบียบ คนที่เป็นผู้ให้มั่นใจได้เลยว่า เมื่อคุณให้กระเช้าปีใหม่ SCGP Packaging New Year Hamper กับใครสักคน ผู้รับจะได้ทั้งกระเช้าและอุปกรณ์ประดับโต๊ะทำงานสวย ๆ ด้วย
 
ถือได้ว่าผลิตภัณฑ์กระเช้าปีใหม่ของ SCGP มีไอเดียสร้างสรรค์ ดีต่อใจและสิ่งแวดล้อมโดยตรง ทั้ง 100% RECYCLABLE (นำกลับมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ 100%) ส่งเสริมชุมชน และนำสิ่งที่ใช้แล้ว กลับมาทำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แตกต่างจากเดิม
 
ผลิตภัณฑ์ไอเดียเจ๋ง ๆ นี้ ผ่านด่านจนกลายเป็นผู้ชนะในงาน WORLD CORRUGATED AWARDS 2021 ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับนานาชาติของอุตสาหกรรมกระดาษลูกฟูก จัดขึ้นโดย RX อันเป็นที่ยอมรับของสมาคมอุตสาหกรรมในระดับโลก ในการออกแบบ การเลือกวัสดุ การตลาด การจัดการ และความรับผิดชอบต่อสังคมแห่งปี เพื่อมอบรางวัลแก่บริษัท ทีมงาน และบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมกระดาษลูกฟูกทั่วโลก