คุณกรัณย์ เตชะเสน Chief Operating Officer – Healthcare Supplies Business และ ดร.ทนพญ. ปริญญาณี สุทธิบุตร Account Manager – Healthcare Supplies Business เข้าร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัว โครงการ “Sanofi Planet Care Upcycling Program” คืนชีวิตใหม่ให้ปากกาอินซูลิน โดย SANOFI, SCGC และ Cirplas รณรงค์ให้ผู้ป่วยเบาหวานส่งคืนปากกาอินซูลินใช้แล้ว โดย “เช็ก ถอด ทิ้ง” ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่จัดเก็บปากกาอินซูลินใช้แล้ว เพื่อนำไปรีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติกด้วยเทคโนโลยี Advanced Recycling อย่างถูกวิธี ถูกสุขลักษณะ
ซึ่งโครงการนี้จะมีการต่อยอดความร่วมมือกันระหว่าง SCGC และ SCGP ในการนำเม็ดพลาสติกหลังจากรีไซเคิลแล้วมาแปรรูปเป็นบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า ส่งเสริมการหมุนเวียนนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับแนวคิดด้าน ESG
ทั้งนี้ ได้เริ่มนำร่องใน 6 โรงพยาบาลชั้นนำ ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลศรีนครินทร์ และโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
SCGP รุกพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เสริมเทรนด์โลกด้าน “ความมั่นคงทางอาหาร” ของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับอาหารปลอดภัยต่อสุขภาพ คงคุณค่าโภชนาการ ควบคู่กับการพัฒนาให้บรรจุภัณฑ์ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าปี 2573 บรรจุภัณฑ์ของ SCGP 100% สามารถใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ หรือสลายตัวได้
นายเอกราช นิโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กิจการบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูง และEnterprise Marketing Director บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนา “นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารเพื่อความยั่งยืน” มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่ ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ในการเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ และมีคุณค่าทางโภชนาการ ขณะเดียวกันจะต้องสร้าง ความยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดรับเทรนด์โลกและตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
“พฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ ให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์ปลอดภัย ไม่มีสารพิษหรือสิ่งแปลกปลอม มีคุณภาพที่เหมาะสม ยืดอายุและคงคุณค่าของอาหาร รวมถึงมีความชัดเจนของข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น วันหมดอายุ วิธีเก็บรักษา สารอาหารที่ประกอบอยู่ และการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลกที่รีไซเคิลได้ง่าย หรือทำมาจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งเป็นสิ่งที่ SCGP พัฒนานวัตกรรมดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างประโยชน์ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค” นายเอกราช กล่าว
สำหรับนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและความยั่งยืน ที่พัฒนาโดย SCGP ประกอบด้วย บรรจุภัณฑ์คุณภาพสูงและปลอดภัย เช่น OptiBreath บรรจุภัณฑ์ยืดอายุผักและผลไม้ ที่ใช้เทคโนโลยีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ด้วยวัสดุและระบบพิเศษ Modified Atmosphere Packaging (MAP) ช่วยปกป้องไม่ให้อาหารที่บรรจุภายในบรรจุภัณฑ์ปนเปื้อน ช่วยรักษาความสด สี กลิ่น และรส รวมถึงชะลอการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ช่วยลดการสูญเสียและทำให้อาหารคงคุณค่าได้นานขึ้น
อีกทั้ง SCGP สามารถพัฒนา บรรจุภัณฑ์ R1+ นวัตกรรม Mono-material flexible packaging ที่ผลิตจากพลาสติกเพียงชนิดเดียว สามารถนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ง่าย และมีคุณสมบัติในการป้องกันการซึมผ่านของอากาศและความชื้น ที่ช่วยปกป้องสินค้าประเภทอาหารได้ดี
ในส่วนของบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัย Fest by SCGP ที่สะอาด ปลอดภัย สัมผัสอาหารได้โดยตรง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีโซลูชันสินค้าทั้ง Fest Fresh Pak (Frozen) นวัตกรรมถาดกระดาษสำหรับเนื้อสัตว์แช่แข็ง สามารถใช้งานได้ในอุณหภูมิต่ำถึง -40 องศาเซลเซียส โดยที่บรรจุภัณฑ์ยังคงความแข็งแรงตลอดกระบวนการบรรจุและการขนส่งจนถึงมือผู้บริโภค ผลิตจากวัตถุดิบหมุนเวียนที่สามารถปลูกใหม่ทดแทนได้อย่างน้อย 94% และ Fest Redi Pak นวัตกรรมที่ตอบโจทย์กลุ่มอาหารแช่แข็งและแช่เย็นพร้อมทาน ช่วยรักษาความสดและรสชาติของอาหารได้ดี โดยใช้วัสดุหลัก 90% เป็นเยื่อยูคาลิปตัสที่สามารถย่อยสลายได้ภายใน 60 วัน สวยงาม แข็งแรง สะดวกในการอุ่นร้อนด้วยไมโครเวฟ ด้วยการออกแบบทำให้ความร้อนกระจายได้อย่างทั่วถึง ทำให้อาหารจะไม่ร้อนหรือสุกจนเกินไป
“SCGP ได้กำหนดงบลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ไว้เฉลี่ยปีละ 0.5% ของรายได้จากการขาย รวมถึงความมุ่งมั่นใจในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน โดยในปี 2566 สัดส่วนบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิล ใช้ซ้ำ หรือสลายตัวได้อยู่ที่ 99.7% และมีเป้าหมายให้บรรจุภัณฑ์ทั้งหมด 100% สามารถใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ หรือสลายตัวได้ ภายในปี 2573” นายเอกราช กล่าว
ณ เวลานี้โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตท้าทายจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง องค์กรธุรกิจ ต่าง ๆ ทั่วโลก ต่างตระหนักถึงความสำคัญของประเด็นดังกล่าว จึงหันมาดำเนินธุรกิจด้วยการปรับกลยุทธ์ และแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับ หลัก ESG (Environmental, Social and Governance) หรือ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
เช่นเดียวกันกับ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP บริษัทด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์แนวหน้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ ESG อย่างจริงจังโดย ‘วิชาญ จิตร์ภักดี’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจีแพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ฉายภาพให้เห็นถึงแผนการดำเนินงานของSCGP ว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวต่อเนื่อง เนื่องจาก ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ภาคการผลิต การส่งออกการท่องเที่ยวของไทยที่ดี ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น โดยธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร มียอดขายเติบโตทุกกลุ่มสินค้า และเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของบรรจุภัณฑ์สินค้าคงทน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ขณะที่ธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการในประเทศ และการส่งออกในบางพื้นที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในเอเชียใต้ ส่วนธุรกิจเยื่อ และกระดาษ มียอดขายบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้น จากปัจจัยการท่องเที่ยวฟื้นตัวเช่นกัน
‘SCGP’ ได้เดินหน้า 5 กลยุทธ์หลัก เพื่อให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนได้อย่างยั่งยืน เป็นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) ประกอบด้วย
1.การขยายกำลังการผลิต จากการเติบโตตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) และใช้กลยุทธ์ควบรวมกิจการ และร่วมมือกับพันธมิตร (Merger & Partnership – M&P) ในธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโต เช่น ธุรกิจบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ฯลฯ เพื่อรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาคการผลิตและส่งออก 2.ประสบการณ์ลูกค้าและนวัตกรรม การแก้ปัญหา Pain Point ต่าง ๆ ของลูกค้า ผู้บริโภค เช่น นำนวัตกรรม อีซี่พีลมาใช้ในฝาโยเกิร์ต เปิดฝาแล้วไม่เลอะ ให้สะดวกต่อการใช้งานของผู้บริโภคมากขึ้น 3. การนำ Operational Excellence มาใช้กับ ลูกค้า ‘B2B2C’ หรือการทำธุรกิจระหว่างเจ้าของธุรกิจสู่เจ้าของธุรกิจเชื่อมต่อธุรกิจกับลูกค้า และรวมธุรกิจแบบ B2C และ B2B เข้ามาไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างธุรกิจที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น 4. ดำเนินธุรกิจด้วย ESG เช่น การนำพลาสติก PCR (Post-Consumer Recycled Resin) ที่ผ่านการใช้งานแล้ว มาใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดคงรูป เพื่อช่วยลดการสร้างพลาสติกใหม่และเกิดเป็นบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก หรือแม้แต่การผลิตกระดาษที่เป็น รีไซเคิลคอนเท็นต์ได้มากถึง 99.6% และ 5. People and Capability ส่งเสริมให้บุคลากรเพิ่มขีดความสามารถตลอดจนพัฒนาทักษะที่ส่งผล ต่อการมีสมรรถนะยอดเยี่ยมขึ้น
“เห็นได้ว่า สุดท้ายทุกอย่างขับเคลื่อนด้วย People and Capability ของคน เราทำธุรกิจใน 10 ประเทศให้สามารถเติบโตได้โดยใช้ 5 กลยุทธ์นี้ด้วยความตระหนักว่า หน้าที่ของเรา คือ การส่งมอบไลฟ์สไตล์ที่จะทำให้ผู้บริโภคสะดวกสบายขึ้น ถ้าถามว่า สินค้ามันว้าวไหม มันไม่ได้ว้าว แต่ของที่เขาใช้ เงินที่เขาจ่ายไป คือความคุ้มค่า คือการยกระดับประสบการณ์ที่ดีขึ้น”
นอกจากนี้ “วิชาญ” ยังกล่าวถึงนวัตกรรมต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า SCGP สามารถดำเนินธุรกิจได้สอดคล้องกับ ESG ในทุกมิติ เช่น ‘โซลูชันเพื่อการลดคาร์บอน’ ธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ จากองค์การบริหารจัดการ ก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งสิ้น 55 ผลิตภัณฑ์ ทั้งในกลุ่มสินค้ากระดาษม้วนประเภทกระดาษผิวกล่อง กระดาษทำลอนลูกฟูก และกระดาษกล่องขาวเคลือบ มีแผนขยายผลในปี 2567 ในการขอรับการรับรองให้ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์กระดาษบรรจุภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นกระดาษม้วนและแผ่นสำหรับ Sack Paper Plaster Liner Board Coated Duplex Board รวมทั้ง สินค้าประเภทถุงอุตสาหกรรมอีกด้วย ‘นวัตกรรมลดการใช้ทรัพยากร’ อย่างเส้นใยนาโนเซลลูโลส (Nanocellulose) เพื่ออุตสาหกรรมกระดาษและบรรจุภัณฑ์ ช่วยให้กระดาษแข็งแรงขึ้น น้ำหนักลดลง เพิ่มความต้านทานน้ำ น้ำมัน และ ก๊าซออกซิเจน ทำให้สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการปกป้อง สินค้าเพิ่มขึ้น จะส่งถึงมือผู้บริโภคได้ในสภาพที่สมบูรณ์แล้ว ยังช่วยลดการใช้พลังงานในการผลิต และเพิ่มมูลค่าให้เส้นใยจากพืช ทั้งยังช่วยลดคาร์บอนอีมิชชั่น ได้ถึง 700,000 kgCO2,Y จากการลดการนำเข้า วัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งมีตั้งแต่ ‘บรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูก Green Carton’ ที่ผลิตจากกระดาษใช้แล้วผ่านกระบวนการจัดเก็บและนำกลับมารีไซเคิล เป็นกระดาษใหม่อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดลดการใช้วัตถุดิบกระดาษ โดยยังคงคุณภาพและความแข็งแรงเทียบเท่าเดิม ช่วยลดพลังงานในการขนส่ง และลดต้นทุนการขนส่งด้วยน้ำหนักบรรจุภัณฑ์ที่เบาลง ประหยัดพลังงานในการผลิต 42.38 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อตัน และลดการใช้กระดาษได้มากกว่า 25 กรัมต่อตารางเมตร ในแต่ละรุ่นของสินค้าโดยที่ผ่านมา ช่วยลด CO2 193,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยลดการตัดต้นไม้ประมาณมากถึง 5 ล้านต้น
‘บรรจุภัณฑ์ Mix in the bag spout pouch’ อำนวยความสะดวกในการใช้งาน ใช้งานง่าย และมีปริมาณพอดีกับความต้องการในการใช้ 1 ครั้ง สามารถลดขยะเหลือทิ้งได้เป็นขยะจำนวนมาก รวมถึง ‘บรรจุภัณฑ์ Light-Weight and High-Strength Paper’ ที่พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีการบดเยื่อช่วยให้เส้นใยเกิด Fibrilization และเทคโนโลยีทาง Chemical ด้วยการปรับปรุงคุณสมบัติของกระดาษที่พัฒนาให้ยังคงคุณสมบัติด้านความแข็งแรงได้ตามมาตรฐานของสินค้าเดิม ทำให้ช่วยลดปริมาณการใช้เยื่อที่เป็นวัตถุดิบหลักในกระบวนการผลิตสินค้าลงอย่างน้อย 5% เทียบกับสินค้าเดิม
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมี ‘นวัตกรรมจากวัสดุรีไซเคิล’ อย่างเม็ดพลาสติก รีไซเคิลจากกระบวนการผลิตกระดาษรีไซเคิล สามารถใช้ประโยชน์จากเศษพลาสติกที่เป็นวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการรีไซเคิล และเพิ่มมูลค่า ด้วยการนำมาผลิตเป็นสินค้าใหม่ ทั้งยังเป็นเม็ดพลาสติกทางเลือกของผู้ประกอบในการผลิตสินค้า ที่สามารถลดต้นทุนในการผลิต โดยเริ่มทดลองผลิตที่ Fajar member of SCGP ประเทศอินโดนีเซียเป็นที่แรกและขยายผลไปยัง Dayasa member of SCGP ประเทศอินโดนีเซียและ SCGP โรงงานวังศาลา ประเทศไทย โดยมีกำลังผลิตเม็ดพลาสติก รีไซเคิลมากถึง 26,000 ตันต่อปี
รวมถึง ‘นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมารีไซเคิลได้’ มีตั้งแต่นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ฟิล์มชนิดเดียวกันมาประกบกัน (Mono-material) มีคุณสมบัติในการปกป้องสินค้าภายในได้ใกล้เคียงเดิม สามารถนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ง่าย และช่วยลดการกำจัดสินค้าด้วยการฝังกลบ จึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ , บรรจุภัณฑ์กระดาษสำหรับบรรจุอาหารที่เคลือบด้วย Water based barrier coating ช่วยป้องกันการซึมผ่านของอาหารที่บรรจุได้ดี สามารถนำไปริโซเคิลได้ง่าย เนื่องจากผลิตด้วยยื่อกระดาษที่ได้รับการรับรอง FSCTM 100 %
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 23 พฤษภาคม 2567
SCGP ได้รับรางวัล Top 1% S&P Global Corporate Sustainability Assessment ในงาน “S&P Global Sustainability Yearbook 2024 Distinction Ceremony in Bangkok” ที่จัดทำโดย S&P Global สะท้อนความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน จากการถือมั่นการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างสมดุลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ใช้พลังงานจากวัสดุเหลือใช้ในกระบวนการผลิต ลดการเกิดมลภาวะในกระบวนการผลิต การออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้ใช้งานง่าย แข็งแรงทนทาน สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำและรีไซเคิลได้ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การดูแลพนักงานและชุมชนโดยรอบโรงงานให้อยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลและยั่งยืน ตลอดจนร่วมปลูกจิตสำนึกร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ จนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับโลก
ใน 4 เดือนแรกของปี 2023 ประเทศไทย มีภาพรวมมูลค่าการส่งออกผลไม้สูงถึง 1.03 แสนล้านบาท โดยเฉพาะ ทุเรียน ลำไย รวมถึงมังคุด ที่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมบริโภคเป็นอย่างมาก
ปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีผลไม้สดจำนวนไม่น้อยที่ได้รับความเสียหายหรือเรียกง่าย ๆ ว่า “ช้ำ” ขณะอยู่ในขั้นตอนการขนส่ง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบรรจุภัณฑ์ที่ไม่เอื้อต่อการปกป้องผลไม้สดคุณภาพสูง ซึ่งนำมาสู่คำถามที่ว่าจะดีกว่าหรือไม่? ถ้าหากมีบรรจุภัณฑ์ที่สามารถเก็บรักษาผลไม้ไทย ให้คงคุณภาพและไม่เสียมูลค่า
ผักและผลไม้จะต้องไร้สิ่งเจือปน จุดเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้เกิดขึ้นเมื่อผู้จัดจำหน่ายผลไม้สดรายใหญ่อย่าง Organic Food Mart ตัดสินใจเข้าปรึกษา SCGP ที่ผ่านมาบรรจุภัณฑ์กล่องใส่ผลไม้สดส่วนใหญ่มักจะเป็นรูปแบบที่ไม่มีฝาปิดแต่มีส่วนเชื่อมต่อสามารถวางเรียงซ้อนทับกันได้ หรืออีกรูปแบบคือมีฝาปิดแต่ต้องใช้เทปกาวเมื่อเปิดดูผลไม้ภายใน ส่งผลให้ได้รับความเสียหายหรือสิ่งเจือปนระหว่างการขนส่ง
ด้วยจุดประสงค์ที่อยากให้บรรจุภัณฑ์ของลูกค้าสามารถปกป้องผลิตภัณฑ์ให้มากที่สุดตั้งแต่ขั้นตอนการขนส่งไปจนถึงมือผู้บริโภค ทีมผู้ออกแบบของ SCGP และ Organic Food Mart จึงลงความเห็นกันว่าบรรจุภัณฑ์กล่องใส่ผลไม้แบบเปิด-ปิดได้ คือคำตอบของโจทย์ข้อนี้
คำนึงรอบด้าน นักออกแบบ SCGP นำโดย วันชนะ ศรีไตรรัตนะ เริ่มออกแบบด้วยการเลือกขนาดบรรจุภัณฑ์ที่มีความเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของพวกเขาซึ่งเป็นผักและผลไม้หลากหลายชนิดคละกันไป ไม่ได้เจาะจง
โดยเลือกใช้กล่องรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสเพื่อให้การขนส่งต่อหนึ่งรอบ ทั้งในแง่ของพื้นที่ห้องขนส่งและปริมาณผลิตภัณฑ์นั้นคุ้มค่าที่สุด รวมถึงอิงจากหลักการยศาสตร์ เพื่อให้สะดวกสบายต่อการยกเคลื่อนย้าย
บรรจุภัณฑ์กล่องใส่ผักและผลไม้จาก SCGP มีจุดเด่นตรงที่สามารถเปิด-ปิดได้ โดยฝากล่องเป็นลักษณะพับเข้าหากัน แต่สิ่งที่พิเศษกว่ากล่องธรรมดาทั่วไปคือ มีส่วนยึดฝากล่อง 4 จุดทำให้ฝาไม่เปิดอ้าระหว่างการขนส่ง
และไม่ต้องกังวลเรื่องผักและผลไม้เน่าเสีย เพราะ SCGP ไม่ละเลยองค์ประกอบเล็ก ๆ อย่างรูระบายอากาศ โดยให้ทีมเชี่ยวชาญของ SCGP คำนวณระยะรูระบายอากาศที่ตัวกล่อง ให้สามารถวางเรียงต่อกันแล้ว อากาศยังสามารถถ่ายเทผ่านกล่องทุกใบได้ขณะอยู่ในระหว่างการขนส่งและกำหนดขนาดของรูลมระบายอากาศให้เหมาะสมกับสินค้าในแต่ละประเภทเพื่อรักษาคุณภาพของสินค้าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดอีกด้วย
นอกจากนี้ทีมผู้ออกแบบของ SCGP ก็ไม่ได้มองแค่เรื่องความเสียหายจากขนส่งเพียงอย่างเดียว แต่ยังคิดไกลไปถึงตอนนำบรรจุภัณฑ์กล่องใส่ผักและผลไม้ไปวางจำหน่ายหน้าร้านและจำหน่ายไม่หมด
เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคส่วนใหญ่มักไม่ได้ซื้อผักหรือผลไม้ยกกล่อง บางครั้งซื้อแค่เพียงไม่กี่ชิ้น เท่ากับว่าจะเหลืออยู่ภายในบรรจุภัณฑ์
ทว่าบรรจุภัณฑ์กล่องใส่ผักและผลไม้จาก SCGP สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ เก็บรักษาคุณภาพผักและผลไม้เหล่านั้นได้เป็นอย่างดี แถมเปิด-ปิดกี่รอบก็ได้แบบไม่ต้องกลัวพัง
บรรจุได้หลากหลาย ลวดลายรอบกล่องทีมกราฟิกอยากให้มีความเป็นกลาง บรรจุได้ทั้งผักและผลไม้ตามโจทย์ที่ลูกค้าให้มา และด้วยวัสดุที่ได้มาตรฐานจาก SCGP ทำให้กล่องใบนี้สามารถใช้บรรจุสิ่งอื่นที่มีน้ำหนักใกล้เคียงกันได้
คุณภาพของ Reclosable common footprint Carton บรรจุภัณฑ์กล่องใส่ผักและผลไม้แบบเปิด-ปิดได้ จาก SCGP ได้รับการันตีด้วยการได้รับรางวัลระดับเอเชียอย่าง Asia Star ประเภท Transport Package
หากผู้ประกอบการท่านใดต้องการที่จะพลิกโฉมบรรจุภัณฑ์ของตนเองให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ยั่งยืน นำกลับมาใช้ซ้ำได้ สามารถขอปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลได้จาก SCGP
ดร.พงษ์สุดา ผ่องธัญญา Managing Director, Mr. Angel Abellán National Sale Director – Industry Division, Mr. Mario Muñoz Strategy, Business & Product Development Director และ Mr. Guillermo Hernández Product Specialist & Sale เป็นตัวแทนทีม Deltalab, S.L. (Deltalab) เข้ารับรางวัล Best Channel Partner Southern Europe 2023: Food Science Division ในงาน EMEA Channel Partner Meeting 2024 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-21 มีนาคม 2567 ณ สำนักงาน Bio-Rad, Institut Pasteur ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ในปีที่ผ่านมา Deltalab สามารถทำผลงานในฐานะผู้แทนจำหน่ายสินค้าของ Bio-Rad ได้สูงสุดใน Southern Europe ทั้งในด้านยอดขายและอัตราการเติบโต โดย Bio-Rad เป็นบริษัทระดับโลกที่มีสินค้าอุปกรณ์เครื่องมือ และชุดตรวจต่าง ๆ ด้าน Healthcare, Life Science และ Food Industry ส่งผลให้ Bio-Rad และ Deltalab พร้อมขยายความร่วมมือทางธุรกิจและมีแผนการเติบโตด้วยกันอย่างต่อเนื่อง
ในงานนี้ ทีม Deltalab ร่วมนำเสนอและแลกเปลี่ยนความรู้ใน 2 หัวข้อ ได้แก่ “Strengthen our Business & Partnership: Bio-Rad & Deltalab” โดย ดร.พงษ์สุดา ผ่องธัญญา และ “Success case ในการเสนอการขายและติดตั้งเครื่องมือ IQ-Check Prep ให้กับลูกค้ารายใหญ่ในประเทศสเปน” โดย Mr. Guillermo Hernández นอกจากนี้ยังได้พบปะตัวแทนจำหน่ายจากหลายประเทศ เพื่ออัปเดตข้อมูล ความรู้ทางเทคโนโลยี และสินค้าใหม่ ๆ เพื่อการพัฒนาในอุตสาหกรรมต่อไปในอนาคต
ปรับโปรดักต์รับเทรนด์ดิจิทัล
หลังศึกษาจบปริญญาโท MBA Marketing พี่อ้อได้เข้ามาร่วมงานกับ SCGP ในตำแหน่งนักวิจัยตลาด ที่สำนักงานวางแผน ต้องรู้จักสินค้าทุกประเภทของบริษัท ได้เรียนรู้ลูกค้าจากการออกไปวิจัยและสำรวจความพึงพอใจของตลาด หลังจากนั้นรับตำแหน่งผู้จัดการแผนกวางแผนและวิเคราะห์ตลาด บริษัทสยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำกัด ก่อนมาทำหน้าที่ผู้จัดการส่วนบริการการตลาด จนปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Customer Services Director
“ขอบเขตงานในปัจจุบันคือ บริหารคำสั่งซื้อของลูกค้าของ SCGP ดูแลงานวางแผนสินค้าให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า ประสานงานกับหน่วยงานวางแผนการผลิต เพื่อผลิตสินค้าให้ได้ตามแผนงานที่วางไว้ ดูแลระบบงานขายทุกช่องทาง ประสานงานกับหน่วยงาน Strategic Supply Chain, Advanced Data Science และ Information Technology เพื่อปรับระบบงานขายให้สอดรับกับคำสั่งซื้อของลูกค้าในยุคดิจิทัลที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว และส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้ตรงตามความต้องการ”
“เทรนด์ดิจิทัลที่เข้ามาในช่วงแรกนั้น ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเราอย่างชัดเจน ปริมาณความต้องการใช้กระดาษของตลาดลดลง สิ่งพิมพ์เดินหน้าไปสู่ทิศทางดิจิทัลมากขึ้น เราต้องหาโปรดักต์ใหม่เข้ามาเพื่อปรับธุรกิจของเราให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ตอนนั้นเรามองไปที่สินค้าประเภทกระดาษ Food Grade, บรรจุภัณฑ์อาหาร Foodservice Packaging ส่วนช่องทางการจำหน่าย เราเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น จากลูกค้า B2B ก็ขยายสู่ B2C จนปัจจุบันเราขยายการจำหน่ายไปสู่ช่องทางออนไลน์และ e-Commerce ถือเป็น Transformation ยุคดิจิทัลรูปแบบหนึ่ง
AI ช่วยอ่านใจลูกค้า บริการได้รวดเร็วตรงใจ
“สิ่งที่แตกต่างจากเดิมคือจำนวนลูกค้าของ SCGP เยอะขึ้น ทั้ง B2B, B2B2C, B2C, Retail Sales และ e-Commerce ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าต่อคำสั่งซื้อเล็กลง และมีความหลากหลายมากขึ้น ดังนั้นระบบการขายต้องตอบสนองลูกค้าได้ทุกช่องทาง ตรงตามความต้องการและรวดเร็ว ขณะเดียวกันระบบหลังบ้านก็ต้องสามารถเห็นสถานะของสินค้า ตั้งแต่อยู่ในกระบวนการผลิตไปจนถึงส่งมอบถึงมือลูกค้าได้
“พี่มองว่าต่อจากนี้ไป AI จะถูกนำมาใช้งานมากขึ้น เช่น ระบบ Robotic Process Automation (RPA) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานตามขั้นตอนต่าง ๆ หรือเทคโนโลยี Optical Characteristic Recognition (OCR) ซึ่งช่วยแปลงภาพ (Image) เป็นตัวอักษร (Text) และนำเข้าระบบ ได้ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยลดภาระงานและลดข้อผิดพลาดในงานที่ต้องทำซ้ำ เมื่องานเหล่านั้นสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว พนักงานก็จะสามารถมุ่งเน้นงานด้าน กลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น หรือการใช้ Chatbot ช่วยลูกค้าค้นหาข้อมูลสินค้า ช่วยตอบคำถามที่ไม่ซับซ้อนด้วยข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ และคาดว่าในอนาคตการทำงานของ AI จะเข้ามาช่วยให้มีความเข้าใจลูกค้าได้มากขึ้น สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและสื่อสารกับลูกค้าเฉพาะเจาะจงเป็นรายกรณี โดยใช้ Humanized Chatbot (ML/AI) เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลด Workload พนักงาน และให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วตรงความต้องการมากขึ้น
“แม้ว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่จะเป็นเพียงส่วนเสริมให้การทำงานของพนักงานมีประสิทธิภาพเท่านั้น คงไม่สามารถเข้ามาแทนที่คนได้ เพราะการแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนและการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้านั้น พนักงานยังเป็นส่วนสำคัญที่ AI หรือเทคโนโลยีไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม Customer Services ที่มี AI เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล จะช่วยจัดการปัญหาและข้อมูลที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพ นำไปสู่การตอบสนองและสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าได้ ความสัมพันธ์กับลูกค้าก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย”
โลกเปลี่ยนไป ต้องปรับให้ไวกว่า
“SCGP ให้ความสำคัญกับการปรับตัวในเรื่องนี้อย่างมาก นอกจากจะมีหน่วยงาน Technology and Digital Platform (TDP) ที่ช่วยสนับสนุนระบบงานต่าง ๆ แล้ว ยังมีการ Upskill และ Reskill พนักงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดพัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่ง ขณะที่พนักงานก็ต้องศึกษาพื้นฐานและติดตามความก้าวหน้าของ AI และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อปรับตัวและพัฒนาทักษะให้สามารถใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อองค์กร”
“สิ่งสำคัญในการผลักดันให้พนักงานเรียนรู้เพื่อปรับตัวกับระบบงานที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้คือ การสื่อสาร เราต้องทำให้พนักงานเห็นว่า เทคโนโลยีมีความจำเป็นอย่างไร ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นอย่างไร ซึ่งการสื่อสารก็ต้องให้พนักงานมีส่วนร่วม ร่วมกันคิด และแบ่งปันประสบการณ์ เรียนรู้และลงมือทำไปด้วยกัน โดยไม่ลืมสิ่งสำคัญคือ การยึดลูกค้าและผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง”
“หลักคิดในการทำงานหรือการใช้ชีวิตของพี่นั้น เราต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอด เราต้องเปลี่ยนให้ทันทีหรือเร็วกว่าซึ่งการลองสิ่งใหม่อาจเกิดความผิดพลาด เราก็เปลี่ยนเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาต่อ น้อง ๆ ต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนวิธีทำงาน เปลี่ยนเรื่องซับซ้อนให้ง่ายขึ้น หาวิธี Lean Process การทำงานจะพัฒนาต่อยอดได้ตลอดเวลา และต้องมีความเชื่อมั่นในศักยภาพทีมของเราที่จะสนับสนุนกันและกัน เพื่อให้พัฒนาองค์กรต่อไปได้”
โฟกัสที่กลุ่มเป้าหมาย แล้วก้าวไปข้างหน้า
จากธุรกิจครอบครัวที่คุณพ่อและคุณแม่ก่อตั้ง โดยใช้พื้นที่บ้านละแวกลาดพร้าว – บางกะปิ ที่มีพนักงานเพียงหนึ่งคนเท่านั้น ผลิตด้วยมือเกือบทั้งหมด และค่อย ๆ เติบโตขึ้นจนกระทั่งปี 1992 ได้ขยับขยายมาตั้งโรงงานที่ปทุมธานีในปัจจุบัน
“ยูไนเต็ด คอนเทนเนอร์ เราให้บริการเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกเป็นหลัก โดยโฟกัสไปที่ลูกค้ากลุ่มที่มีความต้องการสินค้าคุณภาพสูง และต้องการผู้ส่งมอบที่มีความน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเช่น กลุ่มผู้ส่งออกอาหารแปรรูป ผู้ส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้จะเป็นกลุ่มที่ต้องการความแข็งแรงของบรรจุภัณฑ์เป็นพิเศษ ระบบการจัดการคุณภาพและการส่งมอบที่น่าเชื่อถือ และบริการที่รวดเร็ว ตรงเวลา”
“เมื่อเรามีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน การจัดการโรงงาน การเลือกสรรเครื่องจักร และวัตถุดิบเข้ามาใช้ ก็ต้องทำให้สอดคล้องกับความต้องการดังกล่าว เราค้นพบว่า กลยุทธ์ที่เหมาะกับการทำธุรกิจที่สุดคือ การโฟกัสกลุ่มธุรกิจเฉพาะ และเจาะลึกไปในกลุ่มที่เราเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้า รับฟังสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้มากขึ้น และส่งมอบสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์พวกลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด”
อัปเดตเทคโนโลยี พัฒนาบุคลากร เพื่อส่งมอบสินค้าคุณภาพ
ธรรมชาติของธุรกิจปกติก็ต้องมีการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนได้นั้น ไม่ว่าอย่างไรคุณภาพก็ต้องมีความสำคัญเป็นสิ่งแรก และมากไปกว่านั้น การเข้าไปนั่งในใจลูกค้าได้ มาจากการบริหารจัดการภายในองค์กรให้พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการที่เข้ามา
“ความท้าทายในงานของเราคือ การจัดการออร์เดอร์ที่หลากหลายโดยไม่ผิดให้ธุรกิจของลูกค้าเราสามารถแข่งขันได้ในตลาดด้วยการทำงานแบบ Custom Made งานที่ลูกค้าส่งมาแทบจะไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละวัน และเรามีหน้าที่ส่งมอบให้ทันเวลา เพราะ Pain Point ของลูกค้ากลุ่มส่งออกคือ มีกำหนดเวลาที่ชัดเจนในการนำสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์เรือ เราดูแลแก้ปัญหาส่วนนี้ให้ลูกค้าได้รู้สึกเบาใจ และเอาเวลาไปโฟกัสกับงานด้านอื่น ๆ ได้เต็มที่”
“ส่วนตัวผมมีพื้นฐานเป็นวิศวกรและโปรแกรมเมอร์ ผมมี Passion ในการเขียนโปรแกรมตั้งแต่เริ่มมาช่วยงานคุณพ่อที่โรงงานตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งเราค้นพบว่าการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ในโรงงานนั้นได้ผลดีมาก เราจึงไม่เคยหยุดการพัฒนาซอฟต์แวร์ และการนำระบบไอทีเข้ามาช่วยบริหารจัดการ “
“เราสร้างความยั่งยืนด้วยการติดตามเทคโนโลยีการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ๆ แล้วนำมาประยุกต์ใช้สร้างซอฟต์แวร์เฉพาะหน้างานของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาในการทำงาน และไม่ต้องพึ่งพาความเชี่ยวชาญเฉพาะบุคคลเพียงอย่างเดียว ตัวอย่างเช่น ที่โรงงานเรามีระบบบันทึกผลผลิตแบบเรียลไทม์ โดยที่พนักงานไม่ต้องคอยกรอกข้อมูลเอง ทุกๆ ออร์เดอร์การผลิต ระบบสามารถเก็บบันทึกวันเวลาที่เริ่ม/หยุดผลิต จำนวนที่ผลิตได้ สถิติการหยุดเครื่อง และความเร็วในการผลิต ข้อมูลเหล่านี้ถูกบันทึกโดยระบบคอมพิวเตอร์อัตโนมัติทั้งโรงงาน และเราสามารถนำมาต่อยอดในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาการผลิต เพิ่มผลผลิต ลดของเสียได้อย่างต่อเนื่องครับ”
“ในด้านเครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิต เราก็มีการอัปเดตเทคโนโลยีหรือเครื่องจักรใหม่ ๆ อยู่เสมอ นอกจากนั้น วัตถุดิบต่าง ๆ ที่เข้าสู่กระบวนการผลิตจะต้องได้คุณภาพและมาตรฐานที่ดีเพียงพอ รวมถึงการลดของเสีย เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพื่อแข่งขันในตลาดได้ด้วย”
“สำหรับโรงงานของเรา บุคลากรคือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ เราเชื่อในธรรมาภิบาลของการดูแลบุคลากร เรามีนโยบายหลายส่วนที่คอยปรับปรุงระบบสวัสดิการ สวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตของพนักงานอย่างต่อเนื่อง เพราะเราเชื่อว่า ถ้าพนักงานมีความสุข สิ่งเหล่านี้จะถ่ายทอดสู่ผลงานขององค์กร และทุกคนจะช่วยกันขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน ”
ดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
“ที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมค่อนข้างมาก เราเชื่อในการดำเนินธุรกิจและอยู่ร่วมกับชุมชน ส่งเสริมชุมชน และไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม กฎเกณฑ์และข้อบังคับต่าง ๆ เราพยายามทำให้ได้เหนือกว่าที่กฎหมายกำหนด และทบทวนสิ่งเหล่านี้สม่ำเสมอ อย่างเช่น เรื่องการบำบัดน้ำเสีย ทางบริษัทก็มีการลงทุนนำเข้าระบบบำบัดน้ำเสียมาจากต่างประเทศ สามารถรีไซเคิลได้ 100% โดยไม่ปล่อยน้ำเสียออกสู่ชุมชนเลยแม้แต่หยดเดียว”
“เรื่องรีไซเคิลกระดาษเราทำร่วมกับ SCGP โดยการรวบรวมเศษกระดาษและอัดก้อนส่งกลับ ซึ่งเราไว้วางใจว่า SCGP จะดูแลในส่วนนี้ต่อเป็นอย่างดี ส่วนขยะอุตสาหกรรมอื่น ๆ เราก็จัดการอย่างถูกต้อง มีการฝังกลบในจุดที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาล เพราะเราเชื่อว่าการอยู่ร่วมกับชุมชนและสังคมเป็นเรื่องจำเป็นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
“นอกจากนี้เรายังลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ด้วยการติดตั้งโซลาร์เซลล์แบบ Full Scale เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าในโรงงาน เช่น ในเวลากลางวันที่แดดออกเต็มที่ เราแทบไม่ต้องซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฯ เลย ซึ่งมุมนี้ก็จะช่วยทั้งในแง่การดูแลสิ่งแวดล้อม และการลดต้นทุนการผลิตเพื่อส่งต่อให้กับลูกค้า”
จับมือพาร์ตเนอร์ที่ตอบโจทย์ด้านคุณภาพ
“เหตุผลสำคัญในการเป็นพาร์ตเนอร์กับ SCGP มาจากนโยบายด้านคุณภาพ ซึ่ง SCGP มีความน่าเชื่อถือในส่วนนี้มาก และมีความสอคคล้องกับเราในเชิงกลยุทธ์ ด้วยนโยบายของยูไนเต็ด คอนเทนเนอร์ ที่เลือกเจาะกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าส่งออกและลูกค้าผู้ส่งสินค้าพรีเมียมในประเทศ ความคาดหวังของลูกค้าจึงมีสูงมาก ทั้งความต้องการบรรจุภัณฑ์กระดาษที่แข็งแรงเป็นพิเศษ และความน่าเชื่อถือของระบบ Supply ซึ่ง SCGP ตอบโจทย์เป็นอย่างมากครับ
“นอกจากนั้น การผ่านวิกฤตร่วมกันมาหลายครั้ง ทาง SCGP ก็ดูแลเราดีมาก ช่วงที่กระดาษขาดแคลนเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว เราแทบไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องดังกล่าวเลย หรือแม้กระทั่งช่วงที่ภาวะตลาดผันผวนทั่วโลก ทาง SCGP ก็ช่วยเราดูแลเรื่องระดับราคา เพื่อให้เรายังสามารถแข่งขันในตลาดได้ ดูแลให้เราส่งมอบสินค้าได้ในต้นทุนที่เหมาะสม ให้ลูกค้าเรายังสามารถแข่งขันที่ตลาดปลายทางของเขาได้ด้วย SCGP ช่วยดูแลเราในเรื่องดังกล่าวอย่างดีเสมอมา และหวังว่าเราจะมีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกันตลอดไปครับ” คุณธัชชัยกล่าวทิ้งท้าย
“ผมดูแลกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษ และชอบเรื่อง Data Science, Machine Learning และ AI จึงคิดเสมอว่าจะนำสิ่งที่ชอบมาผสมผสานให้เกิดประโยชน์กับองค์กรได้อย่างไร ภายใต้บรรยากาศในการทำงานที่พี่ ๆ เพื่อน ๆ เปิดใจรับ ไม่มีกำแพงปิดกั้น สื่อสารได้รวดเร็ว สนุกในการทำงาน ทำให้เราริเริ่มโครงการใหม่ ๆ ได้
“เดิมในกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษ การรับซื้อไม้ต้องใช้คนวัดขนาดในพื้นที่ ผมจึงปรึกษากับทีม และ Forestry เพื่อนำ AI มาใช้วัดไม้ ตอบโจทย์ทั้งเกษตรกร เรา และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว เพราะโรงงานจะได้ไม้คุณภาพ คนขายจะได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม และเกษตรกรจะเพิ่มความใส่ใจในการดูแลต้นไม้ระยะเวลาตัดไม้ เพื่อให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์”
ณัฐวุฒิ เมฆหมอก
TPC Pulp Production Department Manager, TPC
“ผมชอบพัฒนาโมเดลเกี่ยวกับ Data Science เป็นการส่วนตัว และพยายามศึกษาเบื้องหลังการทำงานของ Model ต่างๆ ใน Data Science ที่สนใจ ถ้ามองว่าสิ่งไหนประยุกต์กับงานที่ทำได้ก็จะทดลองและต่อยอด ประกอบกับที่ SCGP เปิดรับเรื่องนวัตกรรม เปิดโอกาสให้เราเรียนรู้ เหมือนสนามเด็กเล่นที่ให้เราได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ในงบประมาณที่เหมาะสม
“โครงการนี้ใช้ Computer Vision เข้ามาช่วยตรวจสอบเป็นหลัก จากการนำกล้อง CCTV สตรีมภาพเข้าสู่โมเดล ตรวจจับตำแหน่งของไม้ในภาพและวัดขนาด โดยความท้าทายคือ การปรับปรุงให้ภาพมีคุณภาพ เพื่อให้โมเดลมีข้อมูลไปเรียนรู้มากขึ้น คำนวณผลได้เที่ยงตรงขึ้น และการนำระบบที่พัฒนาขึ้นใหม่นำไปใช้ในการทำงานจริง เกี่ยวข้องกับเงินจริง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภายนอกและภายใน โดยการออกแบบระบบนี้ ผมเริ่มต้นจากการพัฒนาโมเดล POC ง่าย ๆ ในคอมพิวเตอร์แล้วลองดูว่า ตรวจจับวัตถุท่อนไม้ในวิดีโอได้ไหมและต่อยอดมาเรื่อย ๆ จนสามารถใช้งานได้จริง จึงเป็นที่มาของโครงการนี้ ผมภูมิใจและอยากพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ ครับ”
พิพัฒน์ศักดิ์ ไทยรัตน์ / Phiphatsak Thairatana
Supply Chain Analyst – SCGP
“ความท้าทายของการร่วมทำโครงการนี้คือ การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้าที่เคยชินกับระบบการวัดขนาดไม้แบบเดิม เรานำผลการวัดขนาดไม้จากระบบเก่าและระบบใหม่มาเทียบการแสดงผลเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรง แม่นยำ แล้วสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจให้เกษตรกร
“SCGP เป็นเหมือนโรงเรียนที่ให้ความรู้เราทุกด้าน ทั้ง Hard Skill และ Soft Skill เชื่อมั่นในคุณค่าของคนรับฟังและให้เกียรติซึ่งกันและกัน เรามีความสุขที่ได้ร่วมงานกับพี่ เพื่อน และน้อง ๆ สนุกกับการทำงานทุกวันค่ะ”
ฝนทิพย์ ศรสุราษฎร์ / Fontip Sornsurad
Raw Material and Warehouse Section Manager – TPC Pulp
“SCGP สนับสนุนช่องทางให้สื่อสารทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ พี่ ๆ รับฟังและเห็นคุณค่าในความคิดเรา ให้มุมมองคำแนะนำที่ดีว่า ควรปรับปรุงหรือพัฒนาตรงไหนเพิ่มเติม ทำให้เรากล้าเสนอไอเดียใหม่ ๆ ที่สำคัญ ทุกคนในองค์กรเป็นคนเก่ง คอยช่วยขัดเกลา พอเรามาทำงานประสานกัน ทำให้เราได้แลกเปลี่ยน เรียนรู้มุมมองต่าง ๆ และช่วยให้มองเห็นเป้าหมายที่เหมือนกัน พาองค์กรก้าวต่อไปข้างหน้า
“ผมว่าความน่าเชื่อถือและความไว้ใจจากทั้งเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า ซัพพลายเออร์ สะท้อนจากสิ่งที่เราปฏิบัติต่อคนที่เกี่ยวข้องกับเรา ถ้าเราส่งมอบสิ่งที่ดีและสามารถตอบโจทย์สิ่งที่เขาต้องการได้ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้ใจให้แก่กันได้”
สิวะรักษ์ บุตรดี / Siwarak Butdee
Value Chain analyst, SCGP