SCGP Newsroom

SCG Packaging ทรานสฟอร์มช้างตัวใหม่ ให้ก้าวไกลมากขึ้น

นอกจากการบริหารจัดการและบริการด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว ความสำเร็จตลอดหลายปีที่ผ่านมาของบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ยังมี “ทีมนักออกแบบบรรจุภัณฑ์” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่คอยสร้างสรรค์แพคเกจจิ้งจนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาโดยตลอด

P-DNA ฉบับนี้ เราจึงชวนพวกเขามาร่วมพูดคุยถึงบทบาทหน้าที่ รวมถึงมุมมองต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ขององค์กร ในฐานะที่พวกเขาคือทีมเบื้องหลัง“ประติมากรรมช้าง” สัญลักษณ์ของการทรานสฟอร์มธุรกิจเอสซีจี แพคเกจจิ้ง เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรอย่างเต็มตัว

มากกว่าการตอบโจทย์ลูกค้า คือการเป็นเพื่อนคู่คิด

การออกแบบแพคเกจจิ้งต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์กับศิลปะ ภายในทีม Packaging Designer จึงต้องมีทั้ง Structural Designer ผู้ทำหน้าที่ออกแบบโครงสร้างและความแข็งแรงของบรรจุภัณฑ์ กับ Graphic Designer ผู้เติมแต่งหน้าตาบรรจุภัณฑ์ให้ออกมาสวยงามและน่าดึงดูด ซึ่งจะร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานที่ทั้งสวยงามและตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด ภายใต้แนวคิด Holistic Design หรือการออกแบบองค์รวม

“งานที่ทีมนักออกแบบแพคเกจจิ้งทำเรียกว่าเป็น Packaging Solutions Provider อย่างแท้จริง เพราะแม้ว่าลูกค้าไม่มีไอเดียอะไรเลย เราก็จะคอยเป็นพาร์ตเนอร์ที่ร่วมคิดและช่วยแนะนำลูกค้าในทุกการแก้ ปัญหา งานของเราจึงไม่ใช่แค่การออกแบบแพคเกจจิ้งตามความต้องการของลูกค้า แต่ยังต้องคิดไปถึง Marketing Strategy ว่าแพคเกจจิ้งที่เราออกแบบจะช่วยเพิ่มยอดขายให้ลูกค้าได้อย่างไร โครงสร้างหรือกราฟิกแบบไหนที่จะทำให้แพคเกจจิ้งตอบโจทย์ทั้งการใช้งานและความสวยงาม

“เมื่อทีมเราได้รับ Requirement จากลูกค้าแล้ว เราก็นำแนวคิด Design Thinking เข้ามาใช้ โดยเริ่มทำ รีเสิร์ชกันก่อน จากนั้นจึงนำไปออกแบบ จนได้ตัว Mockup ไปทดลองใช้จริง เพื่อจะรู้ว่างานที่เราทำตอบโจทย์ทั้งลูกค้าและผู้ใช้หรือไม่ ถ้าได้ผลลัพธ์ว่ายังไม่ตอบโจทย์ ก็ย้อนกลับไปหาทางแก้กันใหม่

“รวมถึงการมองภาพรวมด้วยว่า งานที่ผลิตออกไปนั้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ เพราะนักออกแบบมีหน้าที่คิดงานออกมาให้มีความ Circular สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างสมเหตุสมผล ไปกันได้กับกระบวนการผลิตที่เรามีและสามารถแนะนำสิ่งที่ดีกว่าให้ลูกค้าได้ด้วย”

ช้างตัวใหม่กำลังก้าวเดิน

นอกจากงานออกแบบแพคเกจจิ้ง ตราสินค้า และอัตลักษณ์องค์กร (Corporate Identity) ให้กับกลุ่มลูกค้า งานด้าน Exhibition Design ที่เน้นการใช้วัสดุกระดาษเป็นหลัก ถือเป็นอีกภารกิจที่ทีมนักออกแบบของ เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น Exhibition ในห้างสรรพสินค้า หรืองานแสดงสินค้าระดับชาติอย่าง THAIFEX หรือสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ

“มีผลศึกษาบอกว่า ในไทยมีการจัด Exhibition เฉลี่ย 2,700 อีเว้นต์ต่อปี เติบโตอยู่ที่ 20% คิดเป็นมูลค่า15,000 ล้านบาท นับเป็นโอกาสที่ธุรกิจเราจะลงไปเป็นผู้เล่นในตลาดนี้ เพราะการที่วัสดุหลักของเราคือกระดาษก็มีข้อได้เปรียบที่ดีกว่าในด้านสิ่งแวดล้อม การรีไซเคิล น้ำหนักเบา การติดตั้งที่มีความปลอดภัย และปริมาณฝุ่นที่เกิดจากกระดาษก็น้อยกว่าวัสดุอื่นด้วย”

งานแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำากัด (มหาชน) เตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นับเป็นงานสำาคัญที่ทีมนักออกแบบได้มีโอกาสร่วมกันสร้างสรรค์ประติมากรรม “ช้าง” สัญลักษณ์ที่จะจัดแสดงภายในงาน เพื่อสื่อสารถึงการทรานสฟอร์มองค์กรจากธุรกิจเดิม หนึ่งในทีมออกแบบด้านโครงสร้าง เล่าถึงไอเดียในการออกแบบประติมากรรมช้างให้ฟังว่า

“ช้างสื่อความเป็นเอสซีจีอยู่แล้ว แต่เพื่อสื่อถึงความเป็นแพคเกจจิ้งให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจึงดีไซน์รูปทรงของช้างให้ออกเป็น Polygon คล้ายกับรูปแบบการพับกระดาษโอริกามิของญี่ปุ่นที่มีเสน่ห์และโดดเด่นในตัวเองเมื่อคนมองเห็นช้างตัวนี้ ก็จะรับรู้ได้ทันทีว่าทำมาจากกระดาษ ซึ่งสะท้อนตัวตนขององค์กรเราที่เติบโตมาจากธุรกิจนี้

“กระบวนการทำประติมากรรมช้างตัวนี้ เราเริ่มจากทำภาพสามมิติก่อน เมื่อปรับรูปแบบให้ตรงใจและตอบโจทย์แนวคิดในการทรานสฟอร์มองค์กรได้แล้ว จึงค่อยออกแบบโครงสร้าง ซึ่งมีข้อควรระวังหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นการรับแรง การประกอบให้แข็งแรง การขนส่ง เพราะช้างตัวจริงที่ใช้จัดแสดงมีขนาดใหญ่ถึง 5 เมตร แม้ว่าเราจะมีการทำโมเดลช้างขนาดเล็ก 20 เซนติเมตร สำาหรับทดลองประกอบขึ้นรูปมาก่อน แต่พอขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นกลับมีรายละเอียดที่ต้องใส่ใจแตกต่างกัน เช่น ช้างตัวเล็กใช้กระดาษที่พับเป็นชิ้นมาต่อกัน 10 กว่าชิ้น งานจะสวยเนี้ยบ องค์ประกอบไม่เยอะ แต่ช้างตัวใหญ่ใช้มากกว่าถึง 50 ชิ้น ทำให้เรากังวลว่าหน้าตาของช้างจะออกมาเป็นยังไง จะสวยอย่างที่คิดไว้ไหม ซึ่งงานด้านกราฟิกก็จะเข้ามาช่วยเสริมตรงจุดนั้น”

ทีมออกแบบด้านกราฟิกเล่าต่อว่า “เพื่อตอกย้ำถึงการทรานสฟอร์มองค์กร เราจึงออกแบบช้างให้มี Key Visual ใหม่ที่เน้นสีสันสดใส สวยงาม และสื่อถึงความ Creative มากขึ้น โดยการทำภาพกราฟิกที่มีเหลี่ยมมุม มีมิติ พิมพ์ลงไปบนโครงสร้างกระดาษ ช่วยเสริมรายละเอียดชิ้นงานให้มีลักษณะของ Polygon และ โอริกามิได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อบอกว่าของเราคือช้างตัวใหม่ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าอย่างมั่นคง โดยสะท้อนผ่านโครงสร้างของประติมากรรมช้างที่ก้าวเท้าไปข้างหน้าเช่นกัน”

ก่อนจากกัน ทีมนักออกแบบได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “เราเชื่อมั่นในพลังของทีมเวิร์กว่าสามารถช่วยขับเคลื่อนองค์กรได้ ตอนนี้เรากำาลังเปลี่ยนเพื่อก้าวไปเจอสิ่งใหม่ ๆ การปรับตัว ติดตาม เทรนด์โลกอยู่เสมอน่าจะช่วยให้ตัวเราและองค์กรพบโอกาสเติบโตได้ ดังนั้น การมองความเปลี่ยนแปลงปัจจุบันในแง่บวก มี Mindset แบบก้าวไปข้างหน้าจึงเป็นแนวทางการทำางานที่ดีที่สุดเพราะในอนาคต เราอาจไม่ได้ขายแค่แพคเกจจิ้งแบบเดิม แต่คงต้องมองไกลไปถึงบริการที่ครอบคลุมความต้องการของโลกยุคใหม่ด้วย”

Sparkling Ideas

“แรงบันดาลใจและไอเดียเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ผมจึงชอบการทำงานที่มีอิสระแบบคนรุ่นใหม่ ไม่ต้องจำกัดว่าเราควรทำงานที่ไหน ในช่วงเวลาใด เพราะบางครั้งเราก็ต้องการอารมณ์หรือสถานที่ดี ๆ เพื่อช่วยจุดประกายความคิด ซึ่งเอสซีจีเป็นองค์กรที่พร้อมเปิดโอกาสตรงนี้ให้เรา”

ปอย – สุชาณัฐ ชิดไทย

“แรงบันดาลใจของผมมาจากเพื่อนร่วมทีม งานบางอย่างถ้าเราคิดคนเดียวอาจไม่ตอบโจทย์ลูกค้าก็ได้ แต่การแชร์ไอเดียร่วมกับคนอื่น หรือทำงานออกมาแล้วมีคนช่วยคอมเมนต์ น่าจะทำให้งานของเราสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และหลายครั้งมุมมองของคนในทีมก็กลายเป็นพลังขับเคลื่อนไอเดียของผมได้ด้วย”

เอก – สุริยา พิมพ์โคตร

“เวลาเราเจอปัญหาในงานแล้วไม่สนุกกับมัน เรามักจะคิดถึงงานนั้นในแง่ลบแต่ถ้าเราสนุกไปกับปัญหา แรงบันดาลใจย่อมเกิดขึ้น และการแก้ปัญหาสำเร็จก็ไม่ได้หมายความว่าเราตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างเดียว แต่เรายังเอาชนะปัญหาของตัวเองได้ด้วย เมื่อพบปัญหาครั้งต่อไป เราจะมีความมั่นใจและพร้อมเผชิญหน้ากับมันมากขึ้น”

แพ็ค – วันชนะ ศรีไตรรัตนา

“ปัญหา เป้าหมาย และความคาดหวังที่เกิดจากงาน คือความท้าทายที่เราต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้ แต่ถ้าเราสามารถเปลี่ยนความท้าทายเหล่านั้นให้เป็นแรงบันดาลใจในการคิดงานได้ มันอาจช่วยผลักดันให้เรารู้สึกว่า งานที่เราทำคือความรับผิดชอบมันต้องออกมาดี สวยงาม ตอบโจทย์ลูกค้า และเราจะตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด”

ติ๊ก – กฤชพร กูลรัตนรักษ์

“การรีเสิร์ชข้อมูลและการทำความเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า คือสิ่งแรกที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการคิดงานของเราได้ แล้วค่อยมองหา Reference อื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการมาช่วยเสริม ถ้าเหนื่อยก็ออกไปเที่ยวบ้าง คุยเล่นกับเพื่อนบ้าง แล้วค่อยกลับมาเขย่าไอเดียทั้งหมดให้มันออกมาเป็นงานที่เหมาะสมที่สุด”

เอิร์น – ณิชารีย์ เหรียญทอง

บ้านโป่งโมเดลเราจัดการขยะทั่วทั้งอำเภอ

ที่นี่บ้านโป่ง

นอกจากเป็นเมืองอุตสาหกรรมแล้ว อำเภอแห่งนี้คือจุดเชื่อมระหว่างภาคตะวันตกกับภาคกลาง ด้วยบริบท ที่กล่าวมาทำให้อำเภอบ้านโป่งมีปัญหาการจัดการขยะให้ต้องแก้ไข หากไม่มีการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ต้นทางแล้ว อนาคตข้างหน้าอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่

“การจะเปลี่ยนมาจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง เราต้องเปลี่ยนทัศนคติ ต้องสร้างความรู้ สร้างการมีส่วนร่วมให้ชุมชน ซึ่งในขณะนั้นทางรัฐบาลก็ได้มีแผนปฏิบัติการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนลงมา โดยเน้นในเรื่องของ การจัดการขยะตั้งแต่ต้นทางพอดี เราเองก็อยากจะผลักดันในเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะจัดการขยะอย่างจริงจังในอำเภอบ้านโป่ง” ทศพล เผื่อนอุดม อดีตนายอำเภอบ้านโป่ง ผู้ให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด แต่การจะขับเคลื่อนเรื่องการจัดการขยะไปทั่วทั้งอำเภอ จนกระทั่งเกิดเป็น “บ้านโป่งโมเดล” นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

“เราคนเดียวทำไม่สำเร็จหรอก การที่บ้านโป่งโมเดลจะสำเร็จได้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน”

ร่วมแรงร่วมใจ

บ้านโป่งโมเดลเกิดจากความร่วมมือกันของทั้ง 3 ภาค ซึ่งทั้งหมดจะขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปไม่ได้เลยคือ

  1. ภาคราชการ ได้แก่ อำเภอบ้านโป่ง ท้องถิ่นอำเภอบ้านโป่ง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น กิ่งกาชาดอำเภอบ้านโป่ง
  2. ภาคเอกชน ได้แก่ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งมาช่วยในเรื่องการให้องค์ความรู้ในการจัดการขยะอย่างถูกต้อง รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนในเรื่องงบประมาณ สถานที่ และจัดกิจกรรมหลายสิ่ง หลายอย่าง
  3. ภาคประชาชน ได้แก่ ประชาชน รวมไปถึงสื่อในท้องถิ่น

ชญานิน จำปาทอง ท้องถิ่นอำเภอบ้านโป่ง เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้โมเดลการจัดการขยะของอำเภอบ้านโป่งเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม แม้ทั้ง 3 ฝ่ายจะตกลงร่วมมือร่วมใจกันโดยมีเอสซีจี แพคเกจจิ้ง คอยจัดกิจกรรมและส่งเสริมในด้านองค์ความรู้ ทว่าสิ่งที่พวกเขายังขาดก็คือแบบอย่างของชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการจัดการขยะ “เราก็เลยถามทางท้องถิ่นอำเภอว่า ที่บ้านโป่งพอจะมีชุมชนที่เป็นปลอดขยะ (Zero Waste) ประเภทชุมชนขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นรางวัลระดับประเทศที่จัดโดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม “เมื่อเราลงไปดูบ้านรางพลับ เห็นว่าเขาทำจริงและมีการจัดการขยะที่ดีมากเราจึงนำบ้านรางพลับมาเป็นครู แล้วก็ให้ชุมชนที่สนใจมาเรียนรู้” ทางนายอำเภอยังกระตุ้นให้เกิดความเอาจริงเอาจังด้วยการจัดโครงการประกวด “ชุมชน Like (ไร้) ขยะอำเภอบ้านโป่ง” ขึ้น โดยการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้ง 17 แห่ง คัดเลือกชุมชนหรือหมู่บ้านที่อยู่ในการปกครองของตนเองมาอปท.ละ 1 แห่ง ซึ่งทั้ง 17 ชุมชนที่เป็นตัวแทนต้องไปดูงานที่บ้านรางพลับแล้วก็นำมาถอดบทเรียนจัดการขยะในชุมชนของตนเป็นระยะเวลา 4 เดือน ใครที่มีการจัดการขยะที่ดีที่สุดก็จะได้รับรางวัลชนะเลิศไป จากที่เคยมีบ้านรางพลับเป็นชุมชนต้นแบบในการจัดการขยะ อำเภอบ้านโป่งก็จะมีชุมชนที่เป็นต้นแบบขึ้นมาอีก 17 ชุมชน ซึ่งในการดำเนินงานครั้งต่อไป ทีมงานบ้านโป่งโมเดลคาดว่าจะเพิ่มชุมชนต้นแบบ ให้เข้มข้นด้วย แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมสร้างแรงกระเพื่อมและเป็นกระแสไปทั่วทั้งอำเภอ

นี่คือจุดหมายที่แท้จริงของ “บ้านโป่งโมเดล”

ล้อมกรอบ

สหรัฐ พัฒนวิบูลย์ ผู้อำานวยการโรงงานบ้านโป่ง บริษัทสยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำากัด กล่าวว่า “เอสซีจียินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างชุมชนต้นแบบที่มีการจัดการขยะและให้เป็นจุดเริ่มของการขยายผลไปสู่ ทุกชุมชนในอำาเภอบ้านโป่ง โดยร่วมอบรมและส่งทีมงานไปช่วยในแต่ละพื้นที่ในเรื่องการคัดแยกขยะ เพื่อหมุนเวียนกลับมาเป็นทรัพยากรใช้ใหม่อย่างคุ้มค่า ซึ่งการดำาเนินโครงการในปี 2562 สำเร็จไปได้ด้วยดี เรายังคงให้ความร่วมมือในการขยายผลชุมชนต้นแบบให้ครบทุกชุมชนในบ้านโป่งต่อไป”

ฮั่วเซ่งฮง 40 ปี มีแต่ก้าวไปข้างหน้า

จากธุรกิจครอบครัวที่ริเริ่มจากร้านอาหารจีนบนถนนเยาวราช ความพิถีพิถันในรสชาติและคุณภาพวัตถุดิบได้ถูกผสมผสานกับแนวคิดการบริหารที่ทุกคนให้ความสำคัญ ทำให้ทุกวันนี้ ฮั่วเซ่งฮงเป็นชื่อที่ได้รับความไว้วางใจและถูกคิดถึงเป็นร้านแรก ๆ เมื่อมองหาอาหารจีน

การเริ่มต้นกิจการโดยคุณพ่อมานพ พิริยเลิศศักดิ์ เมื่อประมาณ 40 ปีก่อน เปรียบดั่งรากฐานอันมั่นคงจนเป็นที่ยอมรับ กระทั่งทุกวันนี้ คุณพิสิทธิ์ พิริยเลิศศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ จำกัด นักบริหารเจเนอเรชั่นที่ 3 ได้นำเอาความไว้วางใจที่มีมาต่อยอดแตกไลน์ธุรกิจ “ฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ” ด้วยสะดวกและเข้าถึงลูกค้าทำให้ฮั่วเซ่งฮงติ่มซำเป็นร้านที่คนรักคุณภาพและความอร่อยไม่อยากปฏิเสธ วันนี้เรามาลองฟังเรื่องราวประสบการณ์การต่อยอดธุรกิจใน Lift Up Your Voice ฉบับนี้

หลักคิด “ฮั่ว – เซ่ง – ฮง”

คุณพิสิทธิ์เล่าถึงคำว่า “ฮั่ว – เซ่ง – ฮง” คำสามคำที่มีความหมายว่าสามัคคี รุ่งเรือง เฟื่องฟู ซึ่งสามคำนี้ไม่ได้เป็นเพียงชื่อร้านที่ฟังติดหูแต่ยังแฝงด้วยความหมายอันเป็นปรัชญาการดำเนินธุรกิจของภัตตาคารจีนแห่งนี้อีกด้วย

“ความสามัคคีนั้น เราสามัคคีกันทั้งในครอบครัวและการทำงาน เมื่อเราสามัคคีกันได้ ก็จะนำมาซึ่งความรุ่งเรืองและเฟื่องฟูทุกวันนี้พวกเราให้ความสำคัญกับการรักษาชื่อเสียงที่คุณพ่อสร้างมาเป็นอย่างมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับการบริหารธุรกิจในยุคสมัยใหม่ที่เราเอาเข้ามาใช้ เพราะหากพนักงานทำงานร่วมกันอย่างสุจริต ด้วยความสามัคคี มีเป้าหมายเดียวกันได้แล้ว ทุกคนก็จะสามารถรุ่งเรืองและเฟื่องฟูไปด้วยกันได้”

ขยายช่องทางเพื่อเสิร์ฟคุณภาพและความอร่อย

นอกจากเรื่องการร่วมมือกันทำงานแล้ว ความสำเร็จของฮั่วเซ่งฮงติ่มซำยังเกิดจากการมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยทั้งหมดนั้นตั้งอยู่บนมาตรฐานของอาหารคุณภาพดี เพื่อให้ชื่อเสียงที่สร้างมากว่า 40 ปี กลายเป็นความไว้วางใจสำหรับลูกค้า

“สิ่งที่ถือเป็นจุดเด่นของเราสำหรับในแง่ของแบรนด์นั้นฮั่วเซ่งฮงติ่มซำถูกสร้างขึ้นโดยคนเจเนอเรชั่นใหม่ ส่วนเมนูอาหารเราคิดขึ้นบนพื้นฐานของคุณภาพมาแต่เดิม เราไม่ใช้สารกันบูด ลูกค้าสามารถไว้ใจได้ว่าสินค้าของเราดีต่อสุขภาพ เราไม่ได้เน้นการประหยัดต้นทุนเรื่องวัตถุดิบ ทุกเมนูของร้านเรายังเป็น Freshly Cook อยู่ทั้งภัตตาคารฮั่วเซ่งฮงและฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ ทุกเมนูต้องปรุงสดด้วยเครื่องปรุงที่เป็นของแท้จากธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีไขมันทรานส์ ซอส ซีอิ๊วต่าง ๆ คือของจริง อาหารของเราสำคัญที่ความอร่อย ถ้าไม่มีจุดนี้เราจะขายตัวเองไม่ได้ เราใช้ความอร่อยเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้มากขึ้นในราคาที่สมเหตุสมผล ทุกวันนี้ซาลาเปาไส้ต่าง ๆ ของเราใช้วัตถุดิบชั้นดี และขายในราคา 22 บาทเท่านั้น

“ส่วนแผนการตลาด ปัจจุบันนี้เราต้องขยายการโฆษณาเข้ามาในสื่อออนไลน์มากขึ้น มีการออกสินค้าตัวใหม่ ๆ ให้ทันยุคทันสมัยเหมาะกับคนรุ่นใหม่มากขึ้น เช่น ซาลาเปาชาไทย ซาลาเปาลาวาซาลาเปาทุเรียน เป็นต้น เทรนด์ของคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้พวกเขาจะเน้นที่ตัวสินค้าที่รับประทานแล้วมีสุขภาพดี ซึ่งตรงกับ Value ของฮั่วเซ่งฮงติ่มซำอยู่แล้ว

“ท่ามกลางเศรษฐกิจปัจจุบันเราก็อยู่นิ่งไม่ได้ หนึ่งในกลยุทธ์คือ การกระจายสาขาเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าเราได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้น เช่น ในโรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน หรือแม้กระทั่งบนสถานี BTS คือเราพยายามจะ Integrate เอาฮั่วเซ่งฮงติ่มซำไปในที่ที่ลูกค้าสะดวกให้มากที่สุด รวมถึงการจับมือร่วมกับ ปตท. เปิดฮั่วเซ่งฮงติ่มซำในปั๊มน้ำมันของ ปตท. เพื่อให้กลุ่มลูกค้าที่เดินทางบ่อยสามารถเข้าถึงง่าย ณ ตอนนี้ก็เปิดไปราว ๆ 80 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนั้นเรายังร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ทั้ง GET, Grab, LINE MAN, Foodpanda สำหรับลูกค้าที่ต้องการความสะดวกในการรับประทานอาหารร่วมกันที่บ้าน ก็สามารถสั่งจากเราผ่านช่องทางเหล่านี้ได้อีกด้วย”

พันธมิตรที่ดีควรตอบโจทย์ธุรกิจได้ครบทุกด้าน

สำหรับฮั่วเซ่งฮงติ่มซำที่คุณภาพต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง อาหารที่สร้างสรรค์ขึ้นจากวัตถุดิบสุดพิถีพิถัน จะไม่สามารถไปถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัยได้ หากไม่มีแพคเกจจิ้งที่มีคุณภาพ ซึ่งคุณพิสิทธิ์เผยว่า เหตุผลสำคัญที่เลือกบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยเฟสท์ ในเอสซีจี แพคเกจจิ้ง เป็นพันธมิตรคือ ความมั่นใจ

“ทางเรามั่นใจในผลิตภัณฑ์ของเอสซีจีมาก เพราะชื่อเสียงที่มีมายาวนาน สำหรับเราความไว้วางใจคือ สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อลูกค้ารู้ว่าเราใช้ผลิตภัณฑ์ของเอสซีจี เขาก็มีความไว้วางใจเรามากขึ้นไปอีก ซึ่งตรงกับแนวทางการสร้างผลิตภัณฑ์ของเรา ที่ต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าให้สมกับที่เขาไว้วางใจเรา

“ขณะเดียวกันทีมงานของเอสซีจีก็มี Relationship ที่ดีกับเรามาก คุณภาพผลิตภัณฑ์ของเอสซีจียังมีมาตรฐานที่สม่ำเสมอ คงทน รักษาคุณภาพได้ดีมาก ลูกค้าของเราจึงวางใจได้ว่า บรรจุภัณฑ์เฟสท์ของ เอสซีจี ทุกส่วนประกอบจะเป็นฟู้ดเกรดที่ทั้งสะอาด ปลอดภัย และสามารถสัมผัสกับอาหารของฮั่วเซ่งฮงได้โดยตรง

“นอกจากชื่อเสียงแล้ว เราชอบในนวัตกรรมการใช้กระดาษจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์มาทดแทน งานดูแลชุมชนและสังคมต่าง ๆ ที่เอสซีจีทำอยู่ก็เป็นจุดที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า เอสซีจีเหมาะสมที่สุดที่จะใช้เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับอาหารของเรา”

ในอนาคตต่อจากนี้ ผู้บริหารฮั่วเซ่งฮงยังคงมองหาไอเดียใหม่ ๆ ที่จะร่วมมือกับเอสซีจี แพคเกจจิ้ง ทั้งบรรจุภัณฑ์รูปแบบอื่น เช่น กล่องทรงปิ่นโตที่สร้างอารมณ์ในการกลับไปสู่การรับประทานอาหาร แบบ Traditional หรือแพจเกจจิ้งที่สามารถใช้นึ่งอาหารได้โดยไม่ต้องฉีกซอง ตลอดจนแพคเกจจิ้งอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้การแข่งขันในธุรกิจ พร้อมทั้งสามารถส่งเมนูคุณภาพเยี่ยมไปสู่นักชิม ทั่วประเทศต่อไป

SCGP x Origin Materials พัฒนานวัตกรรมระดับโลก ‘Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ’ ต่อยอดเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจจากพืชหมุนเวียนสู่พลาสติก Bio-PET ตอบโจทย์ความยั่งยืน

SCGP ลงนามความร่วมมือ (Joint Development Agreement) กับ Origin Materials เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมระดับโลก “Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ” ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถนำไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งเป็นวัตถุดิบหมุนเวียนที่สามารถปลูกใหม่ทดแทนได้และเป็นพืชเศรษฐกิจ มาพัฒนาเป็น Bio-PTA (“Bio-Purified terephthalic acid”) เพื่อนำไปผลิตเป็น Bio-PET (“Bio-Polyethylene terephthalate”) ตอบโจทย์โซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ความยั่งยืน และส่งเสริมการใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม 

 

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า SCGP ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือ (Joint Development Agreement หรือ JDA) กับ Origin Materials (ออริจิ้น แมตทีเรียลส์) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากสหรัฐอเมริกาที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เพื่อร่วมกันพัฒนา “Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมระดับโลกในการนำไม้ยูคาลิปตัส มาผ่านกระบวนการแปรรูปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเปลี่ยนให้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพของ SCGP ตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Value-accretive vertical integration) รวมถึงต่อยอดเพื่อนำไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์และสินค้าต่าง ๆ อาทิ บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์อาหาร  สิ่งทอและเครื่องนุ่มห่ม  เพื่อตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนให้สิ่งแวดล้อม

 

ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ ในการผสานความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท โดย SCGP มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาไม้ยูคาลิปตัส และสร้างนวัตกรรมจากไม้ยูคาลิปตัสอย่างต่อเนื่องเพื่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่ Origin Materials เป็นบริษัทระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงได้ร่วมทำการทดลองโดยนำชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ มาผ่านกระบวนการทางเคมี ร่วมกับตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่มีประสิทธิภาพจนได้ Bio-PTA และ HTC (“Hydrothermal carbon”) โดย Bio-PTA สามารถนำไปผลิตเป็น Bio-PET ซึ่งมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับ PET ที่ผลิตจากปิโตรเลียม สามารถนำมารีไซเคิลได้ และสามารถรีไซเคิลพร้อมกับ PET ทั่วไป ในขณะที่ HTC สามารถนำไปผลิตเป็นพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพและใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ 

“SCGP และ Origin Materials ได้ร่วมกันทดลองการผลิตสารตั้งต้นจากไม้ยูคาลิปตัสเพื่อผลิตเป็น Bio-PET ในเบื้องต้น พบว่า คุณภาพของสารตั้งต้นดังกล่าวจากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสมีคุณภาพสูง จึงวางแผนในการพัฒนานวัตกรรมร่วมกันเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ในเชิงพาณิชย์ ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบที่ยั่งยืน ที่สามารถนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อร่วมปกป้องและสร้างความยั่งยืนให้กับโลก” นายวิชาญ กล่าว

 

นายจอห์น บิสเซล (Mr. John Bissell) ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-Founder and Co-CEO) Origin Materials กล่าวว่า Origin Materials เป็นบริษัทชั้นนำของโลก ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อเปลี่ยนโลกสู่การใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืน ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มาตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา  

 

“Origin Materials มีความยินดีอย่างยิ่งสำหรับความร่วมมือกับ SCGP ครั้งนี้ นับเป็นการเพิ่มประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบจากพืชหมุนเวียนในภูมิภาคที่มีจำนวนมาก อีกทั้งยังร่วมกันดำเนินการเชิงกลยุทธ์และขยายขอบเขตของเทคโนโลยีในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเปลี่ยนโลกสู่การใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืนตามเป้าหมายขององค์กรที่วางไว้” นายจอห์น กล่าว
 

Green Read by SCGP ร่วมสร้างสังคมการอ่านอย่างยั่งยืน สนับสนุนงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Bookfluencer: ผู้นำอ่าน” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม ถึง 9 เมษายน 2566 ซึ่ง SCGP นำโดย คุณสุชัย กอประเสริฐศรี ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กิจการเยื่อและกระดาษ ได้ให้การสนับสนุนการจัดงานและเข้ารับพระราชทานโล่เกียรติคุณในฐานะผู้สนับสนุนการจัดงาน พร้อมกับคุณสุกัญญา เบญญาดิลก Marketing Division Director ทูลเกล้าฯ ถวายของที่ระลึก

นอกจากนี้ Green Read by SCGP แบรนด์กระดาษถนอมสายตา ได้จับมือกับพันธมิตรสำนักพิมพ์ และผู้แทนจำหน่ายของ Green Read ออกบูทในงาน พร้อมจัดกิจกรรมห่อปกหนังสือ และ Green Read Collector’s Book เอาใจขาประจำนักอ่าน เมื่อซื้อหนังสือที่ใช้กระดาษกรีนรี้ดภายในงาน และนำมาสะสมแต้มที่บูท แลกรับของรางวัลมากมาย เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนเป็นผู้นำการอ่านและร่วมสร้างสังคมแห่งการอ่านอย่างยั่งยืน

SCGP x Origin Materials พัฒนานวัตกรรมระดับโลก ‘Bio-based Plastic จากไม้ยูคาลิปตัส’ ต่อยอดเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจจากพืชหมุนเวียนสู่พลาสติก Bio-PET ตอบโจทย์ความยั่งยืน

SCGP ลงนามความร่วมมือ (Joint Development Agreement) กับ Origin Materials เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมระดับโลก “Bio-based Plastic จากไม้ยูคาลิปตัส” ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถนำไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งเป็นวัตถุดิบหมุนเวียนที่สามารถปลูกใหม่ทดแทนได้และเป็นพืชเศรษฐกิจ มาพัฒนาเป็น Bio-based PTA เพื่อนำไปผลิตเป็น Bio-PET ตอบโจทย์โซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ความยั่งยืน และส่งเสริมการใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม 

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า SCGP ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือ (Joint Development Agreement หรือ JDA) กับ Origin Materials (ออริจิ้น แมตทีเรียลส์) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากสหรัฐอเมริกาที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เพื่อร่วมกันพัฒนา “Bio-based Plastic จากไม้ยูคาลิปตัส” ซึ่งเป็นนวัตกรรมระดับโลกในการนำไม้ยูคาลิปตัส มาผ่านกระบวนการแปรรูปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเปลี่ยนให้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ทั้งนี้จะช่วยเสริมศักยภาพของ SCGP ตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Value-accretive vertical integration) ในการต่อยอดเพื่อนำไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์และสินค้าต่าง ๆ อาทิ บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์อาหาร  สิ่งทอและเครื่องนุ่มห่ม และยังได้สารตั้งต้นอื่น ๆ ที่สามารถนำไปผลิตสินค้าเพื่อรองรับการใช้งานในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนให้สิ่งแวดล้อม

ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ ในการผสานความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท โดย SCGP มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาไม้ยูคาลิปตัส และสร้างนวัตกรรมจากไม้ยูคาลิปตัส อย่างต่อเนื่อง เพื่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่ Origin Materials เป็นบริษัทระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตวัตถุดิบและสารตั้งต้นต่าง ๆ เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงได้ทำการทดลองโดยนำไม้ยูคาลิปตัสสับจาก SCGP มาผ่านกระบวนการทางเคมี ร่วมกับตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่มีประสิทธิภาพจนได้ Bio-based PTA เพื่อนำไปผลิตเป็น Bio-PET ซึ่งมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับ PET ที่ผลิตจากปิโตรเลียม สามารถนำมารีไซเคิลได้ง่าย และสามารถรีไซเคิลพร้อมกับขวด PET ทั่วไปได้ 

ทั้งนี้ ยูคาลิปตัสถือเป็นพืชที่ปลูกง่าย เติบโตเร็วและเติบโตได้ดีในทุกสภาพภูมิอากาศ สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าไม้ยืนต้นประเภทอื่น ๆ และยังสามารถปลูกทดแทนได้ตลอด จึงเป็นการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน (Renewable Resource) และเพิ่มมูลค่าให้แก่ไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจในอาเซียนให้สามารถผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพได้ 

“SCGP และ Origin Materials ได้ร่วมกันทดลองการผลิตสารตั้งต้นจากไม้ยูคาลิปตัสเพื่อผลิตเป็น Bio-PET ในเบื้องต้น พบว่า คุณภาพของสารตั้งต้นดังกล่าวจากไม้ยูคาลิปตัสมีคุณภาพสูง จึงวางแผนในการพัฒนานวัตกรรมร่วมกันเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ในเชิงพาณิชย์ เพื่อร่วมปกป้องและสร้างความยั่งยืนให้กับโลก ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่ต้องการใช้พลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญในการร่วมผลักดันให้ SCGP บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 และเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่นำมารีไซเคิล ใช้ซ้ำ หรือย่อยสลายได้เป็น 100% ภายในปี 2568” นายวิชาญ กล่าว

นายจอห์น บิสเซล (Mr. John Bissell) ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-Founder and Co-CEO) Origin Materials กล่าวว่า Origin Materials เป็นบริษัทชั้นนำของโลก ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อเปลี่ยนโลกสู่การใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืน ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มาตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา  

“Origin Materials มีความยินดีอย่างยิ่งสำหรับความร่วมมือกับ SCGP ครั้งนี้ นับเป็นการเพิ่มประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบจากพืชหมุนเวียนในภูมิภาคที่มีจำนวนมาก อีกทั้งยังร่วมกันดำเนินการเชิงกลยุทธ์และขยายขอบเขตของเทคโนโลยีในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเปลี่ยนโลกสู่การใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืนตามเป้าหมายขององค์กรที่วางไว้” นายจอห์น กล่าว

งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565

คลิกเพื่อดาวน์โหลด
https://investor.scgpackaging.com/storage/content/downloads/shareholders-meetings/2023/20230403-scgp-statement-financial-position.pdf

 

งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565

รายงานของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต่องบการเงินอย่างย่อ
เสนอ  ผู้ถือหุ้นบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน)

ความเห็น
งบการเงินอย่างย่อประกอบด้วยงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 งบกำไรขาดทุนและงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกัน ซึ่งนำมาจากงบการเงินที่ตรวจสอบแล้วของบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 
ข้าพเจ้าเห็นว่า งบการเงินอย่างย่อนี้มีความสอดคล้องในสาระสำคัญกับงบการเงินที่ตรวจสอบแล้วตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกาศงบการเงินอย่างย่อในหนังสือพิมพ์

 

งบการเงินอย่างย่อ
งบการเงินอย่างย่อไม่ได้รวมการเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดตามที่กำหนดในมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่ใช้ในการจัดทำงบการเงินที่ตรวจสอบแล้วของบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ดังนั้น การอ่านงบการเงินอย่างย่อและรายงานของผู้สอบบัญชีไม่สามารถแทนการอ่านงบการเงินที่ตรวจสอบแล้วและรายงานของผู้สอบบัญชีได้

 

งบการเงินที่ตรวจสอบแล้วและรายงานของข้าพเจ้าต่องบการเงินดังกล่าว
ข้าพเจ้าได้แสดงความเห็นอย่างไม่มีเงื่อนไขต่องบการเงินที่ตรวจสอบแล้วตามรายงานลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งรายงานดังกล่าวรวมถึงการสื่อสารเรื่องสำคัญในการตรวจสอบ เรื่องสำคัญในการตรวจสอบคือเรื่องต่างๆ ที่มีนัยสำคัญที่สุดในการตรวจสอบงบการเงินสำหรับงวดปัจจุบันตามดุลยพินิจเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพของข้าพเจ้า

 

ความรับผิดชอบของผู้บริหารต่องบการเงินอย่างย่อ
ผู้บริหารมีหน้าที่ในการจัดทำงบการเงินอย่างย่อตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกาศในหนังสือพิมพ์

 

ความรับผิดชอบของผู้สอบบัญชี
ข้าพเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบในการแสดงความเห็นต่องบการเงินอย่างย่อว่าสอดคล้องในสาระสำคัญกับงบการเงิน
ที่ตรวจสอบแล้วหรือไม่ จากการปฏิบัติงานของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 810 (ปรับปรุง) “งานการรายงานต่องบการเงินอย่างย่อ”

(พรทิพย์ ริมดุสิต)
ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
เลขทะเบียน 5565
บริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิไชย สอบบัญชี จำกัด
กรุงเทพมหานคร
14 กุมภาพันธ์ 2566

 

ประกาศการจ่ายเงินปันผล ประจำปี 2565 (ลงวันที่ 10 – 12 เม.ย. 2566)

คลิกเพื่อดาวน์โหลด
https://investor.scgpackaging.com/storage/content/downloads/shareholders-meetings/2023/20230403-scgp-dividend-payment-shareholders.pdf

 

ประกาศ เรื่อง  การจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น

ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 (ครั้งที่ 30) ของบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) เมื่อวันอังคารที่ 28 มีนาคม 2566 ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2565 โดยจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้น ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพุธที่ 5 เมษายน 2566 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันอังคารที่ 4 เมษายน 2566) โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2566 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี 

                                                                                        จึงประกาศมาเพื่อทราบ

                                                                         บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน)
                                                                               (ลงวันที่ 10 – 12 เมษายน 2566)

SCGP x MCOT เดินหน้า “โครงการ MCOT Cares: Paper – Cycle แยก แลก ใหม่” แยกกระดาษเก่าสู่กระบวนการรีไซเคิล

 

              SCGP จับมือ MCOT  เปิด “โครงการ MCOT Cares : Paper-Cycle  แยก แลก ใหม่” ส่งเสริมความรู้เรื่องการคัดแยกวัสดุเหลือใช้เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ และสร้างการมีส่วนร่วมให้พนักงาน อสมท ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ร่วมคัดแยกและรวบรวมกระดาษเหลือใช้ในสำนักงาน 3 ประเภท ได้แก่ กระดาษกล่องน้ำตาล กระดาษขาวดำ และกระดาษรวม ส่งมอบให้ SCGP Recycle นำกลับสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง แลกเปลี่ยนเป็นกระดาษใหม่สำหรับใช้ประโยชน์ในสำนักงาน โดยในปี 2566 ตั้งเป้ารวบรวมกระดาษเหลือใช้ส่งกลับสู่กระบวนการรีไซเคิล 3,000 กิโลกรัม เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นกระดาษใหม่ กว่า 100 รีม
 
    โครงการความร่วมมือดังกล่าวเป็นการขยายเครือข่ายพันธมิตรด้านความยั่งยืนของ SCGP Recycle ผ่านการส่งเสริมความรู้ และสร้างพฤติกรรมเพื่อการคัดแยกวัสดุเหลือใช้ในมือผู้บริโภคตั้งแต่ต้นทาง ช่วยให้ทรัพยากรได้หมุนเวียนใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ลดปริมาณขยะปนเปื้อนที่ไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ส่งผลให้ต้องกำจัดด้วยการเผาหรือฝังกลบ ซึ่งมีส่วนเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของปัญหาโลกร้อน

World Water Day 22 : Accelerating Change to Solve the Water and Sanitation Crisis

โลกของเรามี “น้ำ” เป็นส่วนประกอบหลักถึง 70% สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้ล้วนต้องการน้ำเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต แต่ในปัจจุบันเรากำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำ อันเนื่องมาจากปัญหา Climate Change ซึ่งส่งผลต่อวัฏจักรของน้ำบนโลก ประกอบกับการบริหารจัดการน้ำที่ยังไม่ดีพอในหลาย ๆ มุมโลก ที่นำไปสู่วิกฤติความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ องค์การสหประชาชาติจึงให้ วันที่ 22 มีนาคม ของทุกปี คือ วันอนุรักษ์น้ำโลก หรือ World Water Day เพื่อให้ทั่วโลกได้ระลึกถึงความสำคัญของน้ำ

 

สอดคล้องกับความตั้งใจของ SCGP ที่มุ่งมั่นบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดมาโดยตลอด รวมถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับแหล่งน้ำ และสนับสนุนน้ำให้ชุมชนใช้ทำเกษตรกรรม เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีกลยุทธ์หลัก

 

  • ตั้งเป้าหมายในการลดการใช้น้ำจากภายนอกร้อยละ 35 ภายในปี 2568 เทียบกับกรณีปกติ ณ ปีฐาน 2557 ปัจจุบันสามารถลดการใช้น้ำจากภายนอกได้ร้อยละ 28 และนำน้ำกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่เป็นสัดส่วนร้อยละ 16.3
  • บริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ โดยประยุกต์ใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยงด้านน้ำ AQUEDUCT ของ WRI มาประเมิน Water Stress ในพื้นที่ที่ดำเนินธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน ร่วมกับการประเมินการบริหารจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCM) สำหรับการเตรียมแผนสำรองการใช้น้ำ (BCP) และร่วมติดตามแนวโน้มสถานการณ์น้ำและวางแนวทางบริหารจัดการทรัพยากรน้ำกับภาครัฐ ประชาชน และอุตสาหกรรม
  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยการวิเคราะห์การใช้น้ำทั้งวงจร และหาแนวทางที่จะปรับปรุงการใช้น้ำของบริษัทด้วยการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต การปรับปรุงเครื่องจักร และการติดตั้งอุปกรณ์ใหม่
  • ติดตั้งระบบบำบัดน้ำด้วยวิธีทางชีวภาพที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณภาพของน้ำเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด และติดตั้งระบบติดตามคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถตรวจสอบแบบออนไลน์ได้
  • การนำหน่วยงานราชการ ผู้นำชุมชน และตัวแทนภาคประชาชน ร่วมตรวจสอบการดำเนินงาน เช่น บริษัทไทยเคนเปเปอร์ จำกัด (มหาชน) โรงงานปราจีนบุรี ได้นำผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ผู้นำชุมชน และตัวแทนภาคประชาชนเข้าร่วมรับฟังและตรวจสอบการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและการปล่อยน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วออกนอกโรงงาน ตามใบอนุญาตของกรมโรงงานอุตสาหกรรม กำหนดระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน – วันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี