SCGP Newsroom

บ้านส้มตำ เสิร์ฟความแซ่บด้วยคุณภาพ

จากไอเดียเริ่มต้นสร้างธุรกิจของคุณแม่สุภาพร ชูดวง จึงตัดสินใจเปิดร้าน “บ้านส้มตำ” เพื่อนำเสนออาหารตำรับอีสานที่เลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพมาปรุงอย่างพิถีพิถัน ทำให้บ้านส้มตำ จากไอเดียเริ่มต้นสร้างธุรกิจของคุณแม่สุภาพร ชูดวง จึงตัดสินใจเปิดร้าน “บ้านส้มตำ” เพื่อนำเสนออาหารตำรับอีสานที่เลือกใช้วัตถุดิบ คุณภาพมาปรุงอย่างพิถีพิถัน ทำให้บ้านส้มตำ เติบโตจนเป็นที่ยอมรับและขยายความอร่อยไปสู่หลายพื้นที่ในปัจจุบัน

เป็นระยะเวลากว่า 17 ปีในการดำเนินธุรกิจ วันนี้ คุณพีรณัช ชูดวง กรรมการบริหาร บริษัทบ้านส้มตำ กรุ๊ป จำกัด ได้เข้ามารับช่วงต่อจากคุณแม่สุภาพร และใช้โอกาสนี้เล่าถึงทิศทางการสานต่อธุรกิจในเจเนอเรชันที่ 2 พร้อมเล่าเรื่องราวการทำงานกับพาร์ตเนอร์อย่าง SCGP ที่เข้ามาช่วยตอบโจทย์ด้านคุณภาพของบ้านส้มตำได้ดียิ่งขึ้น

 

ธุรกิจที่เริ่มจากแฟมิลี่ไทม์

“บ้านส้มตำเราเริ่มต้นเหมือนธุรกิจอื่น ๆ ครับ เราโตมาจากร้านตึกแถวเล็ก ๆ ขนาด 2 คูหา ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยากจะลาออกจากงานประจำจึงมานั่งคุยกันว่าจะทำอะไรดี บ้านเรากินอาหารอีสานเป็นประจำอยู่แล้วพวกจิ้มจุ่ม ส้มตำรถเข็นอะไรแบบนี้ เหมือนเป็นแฟมิลี่ไทม์ของบ้านเรา คุณแม่เลยตัดสินใจทำร้านอาหารอีสานแถวพุทธมณฑลสาย 2 ในปี 2548 และเติบโตมาเรื่อย ๆ ขยายปีละสาขา จนวันนี้มีทั้งหมด 11 สาขาครับ”

การเข้ามาบริหารธุรกิจร้านอาหารของคุณพี ถือเป็นบทบาทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่เขาสนใจ เพราะเรียนจบและทำงานในสาขานิเทศศิลป์ ก่อนจะตัดสินใจกลับมาช่วยสานต่อสิ่งที่คุณแม่ได้สร้างเอาไว้

“ผมอยู่กับธุรกิจที่บ้านมาตั้งแต่เรียนมัธยม พอถึงจุดที่ต้องเลือก ผมก็เลือกที่จะกลับมาช่วยที่บ้าน เพราะ Passion มั่นก็ยังอยู่ในชีวิตเราไม่ได้หายไปไหน ทุกวันนี้ผมก็ยังถ่ายรูปฟังเพลงอยู่เหมือนเดิม ผมเริ่มจากสิ่งที่ถนัดก่อนครับ เช่น การออกแบบเมนูของร้านใหม่ การถ่ายภาพรวมถึง Marketing and Sales จากนั้นก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไป จนตอนนี้ดูแลทั้งบริษัท

“ช่วงเริ่มต้นคุณแม่บุกเบิกมาเยอะมาก พอมาถึงช่วงของเราคือ การต่อยอด ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าพื้นฐานมีอะไรบ้าง ในช่วงแรก อาจจะมีปัญหาเรื่องแนวความคิดกันบ้าง แต่ตอนนี้ก็โอเคแล้ว เพราะเรามองเห็นภาพตรงกันว่าอะไรที่เป็นผลดีกับธุรกิจ”

 

พาความแซ่บไปฝากทุกมุมเมือง

การเติบโตของธุรกิจมักมาพร้อมความท้าทาย คุณพีเล่าว่า ความท้าทายเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือเรื่องคุณภาพอาหาร จึงทำให้ไม่ว่าความท้าทายจะมาในรูปแบบไหนก็ผ่านไปได้ บ้านส้มตำจึงเติบโตและเป็นตัวเลือกในใจของคนเมืองมาจนถึงทุกวันนี้

“ความท้าทายมีมาตลอด ตอนเปิดสาขาแรกได้ปีเดียว ถนนหน้าร้านก็เจอการก่อสร้างเลยต้องเปิดสาขาสองเพิ่ม หรือสาขาพระนั่งเกล้าเปิดมาได้ปีเดียวก็โดนน้ำท่วมช่วงปี 2554 ธุรกิจเรามาเข้าที่เข้าทางตอนเปิดสาขาสาทร เริ่มเป็นที่ยอมรับของคนกรุงเทพฯ มีกลุ่มลูกค้าต่างชาติ กลุ่มลูกค้าประจำ ธุรกิจโอเคขึ้น และขยายสาขาเพิ่มต่อเนื่อง

“จุดเด่นของเราคือ เป็นร้านอาหารอีสานที่เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่าย ออกแบบร้านให้มีบรรยากาศที่สบาย ๆ รองรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัว กลุ่มเพื่อน หรือแม้กระทั่งกลุ่มลูกค้าต่างชาติ อีกหนึ่งจุดสำคัญคือ เรื่องคุณภาพ เราทำให้ทุกสาขามีรสชาติที่เหมือนกันได้ ไม่ว่าลูกค้า จะไปทานที่สาขาไหน เพราะเรามีครัวกลางที่รักษามาตรฐานของ ทุกสาขาให้เท่ากัน

“หลังจากโควิค 19 คลี่คลายลง เราวางแผนการขยายสาขาเพื่อรองรับการลงทุนและการท่องเที่ยว ในมุมของการเติบโตทางธุรกิจ เราอยากให้กำไรหมุนกลับไปสู่ผู้ผลิตรายย่อยอย่างกลุ่มเกษตรกร เพราะวัตถุดิบบางอย่างอาจจะหายไปได้ถ้าไม่มีการสนับสนุน เช่น น้ำตาลปี๊บ ซึ่งคุณแม่เล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านต้องขับรถหาน้ำตาลปี๊บอยู่เกือบทั้งวัน จนได้ไปเจอผู้ผลิตรายหนึ่งที่อัมพวา ซึ่งยังผลิตด้วยกรรมธีดั้งเดิม เราก็ใช้น้ำตาลปี๊บของเขามาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเขามาบอกว่าคนขึ้นตาลเริ่มหายากแล้ว ถ้าไม่หานวัตกรรมมาช่วย วัตถุดิบคงจะหมดไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องพัฒนาและหาทางออกร่วมกันต่อ เพราะเราต้องเติบโตไปด้วยกัน เพื่อวัตถุดิบที่มีคุณภาพ”

 

SCGP พร้อมเป็นคู่คิดในการพัฒนา

“บ้านส้มตำร่วมงานกับ SCGP ช่วงที่คุณน้ายังดูเรื่องจัดซื้อของบริษัท พอผมเข้ามาดูแล ก็รู้สึกประทับใจกับ SCGP มากครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใส่ใจดูแลลูกค้ การนำเสนอสินค้า ผมคิดว่าธุรกิจใหญ่ที่ลงมาทำแพคเกจจิ้งแบบ Tailor-made หรือลงมาดูและรับฟังปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแบบ SCGP เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งเรื่องแพคเกจจิ้งสำหรับเรา เป็นเรื่องใหญ่ หลายโรงงานอาจไม่อยากทำ Custom ให้เรา หรือต้องมาใส่ใจดูแลเราเหมือนที่ SCGP ทำ ซึ่งเราประทับใจมาก

“กล่องสำหรับใส่เมนูปลากะพงเป็นเคสที่ผมประทับใจมาก เราจะใช้ปลา ขนาดมาตรฐานคือ ยาวประมาณ 11-12 นิ้ว ซึ่งคุณไม่สามารถหากล่องขนาดที่จะใส่กับปลาไซซ์นี้ได้ตามท้องตลาด เราต้องตัดหางปลาออกเพื่อใส่ลงกล่องให้ได้ ซึ่งสำหรับเราที่เน้นเรื่องคุณภาพและความสวยงามมันดูไม่น่าทาน

“จนกระทั่งเรามีโอกาสทำงานร่วมกับ SCGP พัฒนาร่วมกันจนได้กล่องใส่ปลาที่มีขนาดพอดี นอกจากได้ขนาดกล่องแล้ว เราพัฒนาให้มีตัวล็อกและความแข็งแรงเพิ่ม เพื่อไม่ให้ปลาเสียหายและสะดวกต่อการจัดส่งดิลิเวอรี เพราะกล่องปลามีขนาดใหญ่ เวลาจัดส่งให้ลูกค้า กล่องปลามักจะถูกวางเป็นฐาน SCGP ก็รับโจทย์เราไปคิดว่า ควรใช้กระดาษหนาเท่าไร เคลือบด้วยอะไร จนออกมาเป็นกล่องที่ตอบโจทย์การใช้งานในทุกวันนี้ เป็นตัวอย่างที่ประทับใจมาก เพราะในช่วงโควิด 19 ร้านอาหารทุกร้านต้องปรับตัวกับการดิลิเวอรีอย่างมาก จากยอดขาย10 – 20% เพิ่มสูงขึ้นเป็น 50 – 60% ผมคิดว่าการพัฒนาสินค้าร่วมกันระหว่างบ้านส้มตำกับ SCGP น่าจะมีอีกหลายทางมาก เพราะ SCGP มีความเข้าใจลูกค้า ช่วยหาทางลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ และเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เราใส่ใจ ทั้งสองประเด็นนี้จะทำให้การใช้แพคเกจจิ้งของเรายั่งยืนในอนาคต ทั้งด้านธุรกิจและด้านสิ่งแวดล้อมด้วยครับ”

 

ดร. อดิศักดิ์ วรคุณพินิจ – ทำงานที่ชอบ ผสานการใช้ชีวิตอย่างลงตัว

 

ดร. อดิศักดิ์ วรคุณพินิจ

ทำงานที่ชอบ ผสานการใช้ชีวิตอย่างลงตัว

 

แนวคิดการทำงานและใช้ชีวิตของพี่ป้อม – ดร. อดิศักดิ์ วรคุณพินิจ Innovation and Product Development Director – SCGP ได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากการแชร์เรื่อง Work-Life Integration จากพี่วิชาญ CEO, SCGP เปรียบสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ว่า การรวม เอางานและชีวิตส่วนตัวเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนนั้น จะช่วยให้งานที่ทำน่าสนุกขึ้นและยังเป็นแรงบันดาลใจดี ๆ ให้ชีวิตได้อีกด้วย

 

ภารกิจ “มองหาโอกาสใหม่” ให้องค์กร

 

“พี่เริ่มต้นจากวิศวกรที่ศูนย์พัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ ดูแลงานด้านพัฒนากระดาษ จากนั้นก็ได้ทุนของบริษัทไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกด้านเยื่อและกระดาษที่สหรัฐอเมริกาช่วงปี 2540 – 2546 พอกลับมาได้รับโอกาสให้เป็นนักวิเคราะห์โครงการที่สำนักงานวางแผนธุรกิจซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนแรกที่ทำให้เห็นภาพของธุรกิจมากขึ้น เห็นการวางแผนธุรกิจ ได้เรียนรู้การทำธุรกิจจากพี่ ๆ และได้ลองคิดและวิเคราะห์การลงทุนในหลายมุมมอง ต่อมา ได้กลับไปทำงานวิจัยที่ศูนย์พัฒนาฯ อีกครั้งในตำแหน่งนักวิจัยอาวุโส เราก็ได้เอามุมมองทั้งฝั่งเทคนิคและฝั่งธุรกิจมาช่วยทีมวางแผนต่าง ๆ จนปัจจุบันพี่ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาฯ คอยดูแลและผลักดันงานวิจัยให้ไปสู่เชิงพาณิชย์มากขึ้น

 

“ทิศทางการทำงานของเราคือ การพยายามหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ หรือ New s-Curve เนื่องจากทีมเรามีศักยภาพ ความรู้ ความเชี่ยวชาญและมีเครื่องมือหลากหลาย สามารถทำอะไรได้มากกว่าบรรจุภัณฑ์ เช่น ต่อยอดธุรกิจจากปลูกไม้ยูคาลิปตัส มาทดลองปลูกสมุนไพร สกัดถั่งเช่าออกมาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เป็นต้น ซึ่งในอนาคตสามารถต่อยอดได้อีกหลายธุรกิจ

 

“เราจะนำโจทย์ที่ได้มากำหนดเป้าหมาย ทำแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี ซึ่งทุกคนในหน่วยงานต้องเห็นภาพเดียวกัน โดยแผนดังกล่าวจะไปสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และโอกาสทางธุรกิจของบริษัท พี่ๆ ก็จะช่วยดูว่าทิศทางที่จะไปตามแผนนั้นมีอะไรบ้าง แล้วมาจัดการเรื่องทรัพยากร ไม่ว่าจะเรื่องคน เครื่องมือ หรือวางแนวทางการทำงานร่วมกันเพื่อให้เป้าหมายชัดเจนขึ้น”

 

เข้าใจในความหลากหลาย สื่อสารอย่างเข้าถึง

 

“จากที่เคยดูแลน้องในทีมไม่กี่คน เมื่อมีทีมงานและเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นต้องผสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่หลากหลายทั้งภายในและภายนอกการสื่อสารถือเป็นเรื่องสำคัญมาก

“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเข้าใจลูกค้าแต่ละรายที่ความต้องการแตกต่างกัน การโน้มน้าวให้ลูกค้าเห็นประโยชน์ในสิ่งที่ทีมกำลังทำ ล้วนต้องการการสื่อสารที่ดี ขณะเดียวกันเมื่อบริษัทเติบโตไปในธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง และขยายออกนอกภูมิภาคมากขึ้น ต้องเรียนรู้ว่าลูกค้ากำลังมีปัญหาอะไร ต้องพยายามออกแบบสินค้าและบริการให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้หลากหลาย และที่สำคัญต้องสร้างผลตอบแทนให้บริษัทได้ด้วย

“พี่ชอบลงมือทำ เพราะทำให้ได้คำตอบ ทำให้เราเห็นจุดดีและจุดที่ต้องปรับปรุง สามารถให้คำแนะนำน้อง ๆ ได้ซัดเจนขึ้น การทำงานในทีมที่มีหลายช่วงวัยอาจจะแตกต่างกันบ้าง เห็นได้ชัดว่า Gen Y กับ Gen Z มี Work -Life Balance ที่มากกว่า ซึ่งพี่ก็ต้องพยายามเรียนรู้ที่จะบาลานซ์ชีวิตเขาด้วย ช่วงหลังเลิกงานก็ให้น้อง ๆ มีเวลาส่วนตัวพี่มีโอกาสได้เรียน Soft Skill อยู่หลายหลักสูตร สิ่งหนึ่งที่นำมาประยุกต์ใช้คือ ความเห็นใจผู้อื่น ต้องพยายามเข้าใจเขา สื่อสารกันเรื่องเป้าหมาย ส่วนวิธีการไม่ต้องไปบังคับ พยายามคุยกันมากขึ้นและดูว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่ามันเป็นไปได้ไหม มีอุปสรรคอะไร และจะแก้ไขอย่างไร ใช้การสื่อสารทั้งรายบุคคลและเป็นกลุ่ม ให้บอกเล่าปัญหาในการทำงาน การพูดคุยกันส่วนตัวจะช่วยให้น้องเปิดใจมากกว่าคุยแบบกลุ่ม และเราก็สร้างแรงบันดาลใจในการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย ระหว่างทางพยายามหาทางเติมพลัง หรือให้เขาไปทำกิจกรรมอื่นที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อกลับมามีพลังมากกว่าเดิม

“เรื่องการทำงานแบบ Cross Function ต้องเข้าใจว่าแต่ละหน่วยงานมีเรื่องที่โฟกัสแตกต่างกัน ต้องสื่อสารให้เขาเห็นว่าสิ่งที่กำลังทำร่วมกันมีความสำคัญ มีประโยชน์ต่อลูกค้าและบริษัท พี่คิดว่าการทำงานแบบมืออาชีพ ด้วยการร่วมมือกันทำงานอย่างแข็งแกร่งใน SCGP จะส่งผลให้เราตอบโจทย์และเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าได้อย่างยั่งยืนในที่สุด”

 

WORK-LIFE INTEGRATION

 

“พี่อาจดูเหมือนเป็นคนบ้างานอยู่บ้าง ต้องใช้เวลาทำงานเยอะกว่าคนอื่น เพราะเรามีงานบริหาร ต้องดูแลพี่น้องหลายสิบคน แต่ก็หาวิธีบริหารเวลาให้ทั้งกับครอบครัวและตัวเองด้วยเหมือนกัน

 

“ส่วนตัวพี่รู้สึกว่า การทำงานทำให้รู้สึกสนุก อยากทำมันให้ดีที่สุด พยายามจะหาแนวคิดใหม่ ๆ ไม่ให้งานที่ทำซ้ำซากจำเจ พี่ไม่ค่อยมีจุดที่รู้สึกท้อมีแต่จุดที่อยากพักสักนิด ไปทำงานอดิเรกเพื่อผ่อนคลาย เช่น การทำสวนซึ่งได้แรงบันดาลใจตอนพัฒนา OptiBreath บรรจุภัณฑ์ยืดอายุผักและผลไม้ จากที่ต้องศึกษาหาข้อมูลเชิงลึก ต้องไปคุยกับชาวสวนเจ้าของธุรกิจ จนอินไปกับมัน และกลายมาเป็นงานอดิเรกในที่สุด

 

“การทำงานให้สำเร็จ พี่ยึดหลัก 2 อย่าง คือ 1. Passion ในการทำงานมีความสุขกับสิ่งที่ทำ ตื่นเช้ามาแล้วอยากทำงาน และ 2. ความอยากเรียนรู้อยู่ตลอด เพราะเชื่อว่าเราไม่ได้เก่งทุกอย่าง เราสามารถต่อยอดได้จากทุกสิ่ง การเรียนรู้จากคนอื่นทำให้ได้มุมมองใหม่ ๆ มาเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเรา และการแลกเปลี่ยนมุมมองกับทีมและคนอื่น ๆ จะช่วยให้เราคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้

 

“การเรียนรู้มันไม่จำกัด ยิ่งตอนนี้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น เข้าถึงผู้เชี่ยวชาญที่ยินดีจะแบ่งปันเรื่องต่างๆ ได้ง่าย ขอแค่เรากล้าที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เรามีองค์ความรู้ที่หลากหลายมากขึ้น

 

 

ที่มา a LOT Vol.29
https://www.scgpackaging.com/th/alotNewsletter

เข็มทิศการตลาดปี 2023 3 มิติ 3 เทรนด์ 3 เทคโนโลยี และ 3 การตลาดที่ธุรกิจต้องโฟกัส

สำหรับปี 2566 ผศ. ดร.เอกก์ ภทรธนกุล ได้หยิบเอาผลสำรวจเรื่องเทรนด์การตลาด ที่สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยได้เก็บข้อมูลการคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ จากผู้บริหารสูงสุดขององค์กรในประเทศไทยและนักวิชาการที่มีชื่อเสียงรวม 156 คน เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางการทำงานให้แบรนด์ในช่วงเวลาที่หลายคนเชื่อว่า ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

3 เทรนด์ 3 มิติ 3 เทคโนโลยีที่ต้องจับตา

 

เริ่มต้นที่มิติเศรษฐกิจ มีการคาดการณ์ว่าในปี 2023 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอยู่ราว 5% สอดคล้องกับที่แบงก์ชาติสิงคโปร์ระบุว่าเศรษฐกิจ ในแถบอาเซียนจะโตขึ้นราว 2.5% โดยมีประเด็นสำคัญที่ควรจับตามองคือ1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่รวดเร็ว 2. เศรษฐกิจโลกจะ ตกต่ำรุนแรง 3. ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัล

 

ทางมิติของลูกค้าหรือผู้บริโภคจะสนใจมากที่สุด 3 เรื่อง 1. คุณภาพ (Quality) ลูกค้าจะกลับไปหาสิ่งที่เป็นพื้นฐานอีกครั้งคือ คุณภาพของสินค้า 2. ทดลองของใหม่ (Trialability) เปิดโอกาสให้แบรนด์ใหม่ ฟังก์ชันใหม่ เรื่องราวใหม่ที่ยั่วยวนใจ เพราะวิกฤตที่ผ่านมา อะไรที่ไม่เคยทำก็ได้ทำทั้งสั่งอาหารออนไลน์ จ่ายเงินออนไลน์ ปีนี้จึงจะเป็นปีที่ลูกค้าสนุกกับการทดลอง 3. การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) สินค้าผลิตอย่างไร คาร์บอนฟุตพริ้นท์เท่าไร ใช้อะไรในการผลิต มีความรับผิดชอบต่อสังคมหรือไม่ อุตสาหกรรมจะถูกตรวจสอบตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน

 

มิติของเจ้าของธุรกิจ ธุรกิจใดที่วางแผนจะลดงบประมาณลง น่าจะแข่งขัน ในธุรกิจได้ค่อนข้างยาก ควรเตรียมงบการตลาดเอาไว้ 5 – 10% แล้วนำไปลงทุ่นกับ 3 เรื่องคือ 1. Commerce แพลตฟอร์มการขาย 2. Content เนื้อหาที่ดึงดูดใจ และ 3. Payment สนับสนุนพฤติกรรมการจ่ายเงินของลูกค้า ควรเชื่อมโยงแพลตฟอร์มการขายเข้ากับรูปแบบการจ่ายเงินประเภท e-Wallet ต่าง ๆ ที่ลูกค้าต้องการใช้ นอกจากนี้ เทคโนโลยีอย่าง AI จะเข้ามามีส่วนช่วยนักการตลาดค่อนข้างมาก จนบริษัทสามารถลดต้นทุนทางการตลาดได้ และเรื่อง IoT หรือ Internet of Things ที่เชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตเข้ากับเครื่องมือต่าง ๆ รอบตัว จะทำให้สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้อย่างมหาศาลเหมือนอย่างที่ Mi ทำมาแล้ว รวมถึงเรื่อง Biotechnology ซึ่งเทคโนโลยี 3 อย่างนี้ ต้องเร่งศึกษาและหาช่องทางใช้ประโยชน์แก่ธุรกิจให้ได้

 

BANI WORLD โลกที่ผู้บริหารต้องเรียนรู้ให้เร็ว ปรับตัวให้ทัน

 

โลกใหม่ในปีนี้ถูกนิยามเอาไว้ว่า BANI World เป็นนิยามที่ชี้ให้เห็นว่าถัดจากนี้ โลกเป็นอย่างไร และธุรกิจต่าง ๆ ควรทำอย่างไร ทักษะอะไรที่ผู้บริหารควรมี

 

B – Brittle ความเปราะบาง โมเดลธุรกิจจะสามารถแตกสลายได้ง่ายและรวดเร็วมาก นักธุรกิจไม่ควรมั่นใจในโมเดลธุรกิจที่ทำอยู่ ควรเปิดทางเลือกให้มากเพื่อกระจายความเสี่ยง ทำธุรกิจให้หลากหลาย และคิดสิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา

 

A – Anxious ความกังวล เมื่อธุรกิจมีคู่แข่งเกิดขึ้น จะทำอย่างไรให้เลิกกังวล คำตอบคือ ความกังวลนี้จะอยู่ตลอดไป ให้ถือเป็นเรื่องปกติ แล้วเรียนรู้ให้มากขึ้น จะไม่มีอะไรแน่นอนเหมือนในอดีตอีกแล้ว

 

N – Nonlinear คาดเดาได้ยาก ธุรกิจไม่ต้องวางแผนยาว 3 ปี 5 ปี อีกต่อไป ให้เปลี่ยนจาก Planning เป็น Experimenting อยากทำอะไรรีบทำ แต่ให้ทำแบบเล็ก ๆ ก่อนแล้วแก้ไขไปทีละจุด เพราะโลกเปลี่ยนเร็วมาก ถ้ามัวแต่วางแผนจะไม่ได้ทำ 

 

I- Incomprehensible ทำความเข้าใจได้ยาก สิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นการตัดสินใจหรือการแก้ปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อน จะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากมาก และทักษะการแก้ปัญหาของคนจะถูกฝึกฝนอย่างมากในอนาคต

 

2023 คือปีแห่งการตลาดแบบ 3P

 

P1. Personalized Marketing – การตลาดเฉพาะบุคคล เป็นการตลาดที่แบ่งลูกค้าเป็นรายตามความต้องการ เพราะต่อให้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ความต้องการก็ไม่เหมือนกัน เทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการทำ Personalized ถูกลง อย่างระบบ CRM (Customer Relationship Management) และ CEM (Customer Experience Management) ที่บริษัทต่าง ๆ เริ่มเรียนรู้มากขึ้นแล้วว่า ระบบเหล่านี้ เป็นเครื่องสร้างรายได้ ไม่ต่างจากลงทุนซื้อเครื่องจักรมาผลิตสินค้ายิ่งลงทุนเรื่องนี้มาก ธุรกิจก็สามารถสร้างคุณค่าให้ลูกค้าได้มากขึ้นตามไป

 

P2. Precision Marketing – การตลาดแบบแม่นยำ จากสมัยก่อนที่ทำแบบ Mass โปรยโฆษณาไปทางนิตยสารหรือทีวี เปลี่ยนเป็นการยิงปืน สไนเปอร์ไปสู่เป้าหมาย โดยมี AI ของ Facebook และ Googleช่วยคิดให้ หากไม่เรียนรู้ ต้นทุนการตลาดจะแพงมาก

 

P3. Performance Marketing – การตลาดแบบมีประสิทธิภาพ เพราะการตลาดแบบสร้างภาพลักษณ์กำลังจะตกยุค เทคโนโลยีทุกวันนี้สามารถบอกได้ว่า ลงทุนการตลาดไปแล้ว ทำให้เกิดปริมาณการซื้อหรือซื้อซ้ำได้ชัดเจนมากขึ้น ช่วยให้ลงทุนกับการตลาดอย่างสบายใจมากขึ้น

 

ที่มา a LOT Vol.29
https://www.scgpackaging.com/th/alotNewsletter

PASSION คือ ความสนุกและความสุขในการทำงาน

การมองงานเป็นความสนุกและท้าทายในแต่ละวัน อาจป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ทุกวันของเรามีเป้าหมาย จนกลายเป็นการทำงานอย่างเป็นสุข เช่นเดียวกับเรื่องที่เราได้ฟังจากผู้บริหารและเพื่อนพนักงานจากบริษัทคอนิเมก จำกัด ใน SCGP ที่ได้มาแบ่งปันเรื่องราวและวิธีคิดดี ๆ ในการทำงาน

 

“พี่ดูแลเรื่องการบริหารบุคคล พี่จะให้ความสำคัญกับการสื่อสารโดยใช้วิธีแบบ Soft Side เน้นขอความช่วยเหลือมากกว่าการสั่ง ปัจจุบัน SCGP เข้ามาช่วยแนะนำเรื่องการบริหารงานที่เป็นระบบมากขึ้น ซึ่งมีประโยชน์ในระยะยาวแก่พนักงานและองค์กร ซึ่งบางอย่างเปลี่ยนไปจากเดิม เราต้องปรับ Mindset ให้เขาเข้าใจว่า บริษัทยังรักและดูแลเขาเหมือนเดิม ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ และความมั่นคงในชีวิตเขา การสื่อสารที่ชัดเจนช่วยให้เขาเข้าใจได้ง่ายขึ้น

 

“Passion สำหรับพี่คือ ความสนุก อยากจะทำอะไรใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาทักษะให้มากขึ้น ทำให้พนักงานของเรามีความสุขขึ้น และในภาพรวมทำให้องค์กรมีคุณค่ามากขึ้น การทดลองทำสิ่งใหม่ ทำให้เรารู้ว่าเรามีศักยภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่จำเป็นต้องสำเร็จทุกอย่าง ขอแค่ลองทำ และตอบตัวเองว่าเราทำได้หรือทำไม่ได้ ถ้าไม่ได้ก็จะลองวิธีใหม่ ต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่ และเป็นความโชคดีที่ทาง SCGP ก็สนับสนุนแนวคิดแบบนี้

 

“ลองคิดดูว่าตอนเด็กเราเคยชอบอะไรบ้าง โตมาความชอบอาจเปลี่ยนไป สิ่งที่เรียกว่า Passion มันอาจจะเกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอด Passion ในมุมมองของพี่ ไม่จำเป็นต้องหลงใหลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเดียว ถ้าเราขยันเรียนรู้ ลองออกจาก Comfort Zone จะทำให้เราเห็นคุณค่ใหม่ ๆ ในตัวเอง นี่คือนิยามของคำว่า Passion ในแบบฉบับพี่”

 

ดร.พรรษชล ลิมธงชัย

HR and Procurement Director

 

“พี่ดูแลแผนก RMC (Raw Material Control) งานหลักเป็นเรื่องการจัดการเกี่ยวกับวัตถุดิบ ความท้าทายของงานคือ การบริหารต้นทุนวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด วางแผนสูตรการผลิต ลดความสูญเสียในกระบวนการ ช่วยให้สายการผลิตสามารถผลิตงานได้คุณภาพตรงตามความต้องการของลูกค้า

 

“การทำงานอย่างมีเป้าหมายคือแรงบันดาลใจสำคัญของพี่ เช่น ตอนนี้พี่มีเป้าหมายในการลดเศษพลาสติกจากการผลิตให้มากที่สุด โจทย์นี้เป็นโจทย์ที่ท้าทาย เราต้องหาทางแก้ไปเรื่อย ๆ พร้อมทั้งสอนน้อง ๆ ให้ช่วยกันออกไอเดีย ถ้าเรามีเป้าหมายที่ซัดเจน เราจะสนุกกับงาน สนุกกับความท้าทายว่าเราจะทำตามเป้าได้ไหม

 

“พี่ทำหน้าที่อยู่ตรงกลางระหว่างผู้บริหารกับผู้ปฏิบัติงาน การบริหารทีมจะต้องแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง เป็นทีมเดียวกันกับเขา ติดปัญหาก็ปรึกษากัน เรานำประสบการณ์ที่เคยเจอทั้งหมด ถ่ายทอดให้น้อง ๆ ด้วยการสอนให้ทุกคนมองภาพรวมของบริษัท การให้คำแนะนำและสนับสนุนในการหาเครื่องมือเข้ามาช่วยสร้างมาตรฐานในการทำงาน เพื่อสามารถส่งต่องานหรือทำงานทดแทนกันได้ เพราะเราอยากให้น้องทุกคนได้ฝึกฝน รวมถึงให้กำลังใจเพื่อเดินหน้าไปด้วยกัน”

 

ปราโมทย์ เพ็งแจ่ม

Raw Material Control

SCGP ต่อยอดแนวทาง ESG ใช้นวัตกรรมกระดาษ ในงานประชุม APEC 2022 THAILAND

SCGP ต่อยอดแนวทาง ESG ผ่านการออกแบบการประชุมในลักษณะ Green Meeting โดยใช้กระดาษรีไซเคิลเป็นวัสดุจัดงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ เนื่องในโอกาสที่ประทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC 2022 Thailand

 

ทุกวันนี้การจัดประชุมหรือนิทรรศการจะมีการตกแต่งบูทให้สวยงาม แต่หากนำวัสดุใหม่ ๆ มาใช้ตลอดเวลา ขณะที่ทรัพยากรก็เริ่มลดลง อาจยิ่งเร่งวิกฤติโลกร้อน SCGP จึงสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าด้วยการนำแนวคิดของการนำมาใช้ซ้ำ ลดการใช้ และนำมาใช้ประโยชน์ได้อีก มาออกแบบการประชุมในลักษณะ Green Meetingโดยใช้กระดาษรี่ไซเคิลมาออกแบบและผลิตบูท ซึ่งนอกจากเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังแข็งแรงทนทาน สามารถใช้จัดงานหรือจัดแต่งสถานที่ที่มีการจัดกิจกรรมได้ตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นซุ้มประตูทางเข้าฉากหลังจุดถ่ายภาพ โพเดียม และสื่อในการประชาสัมพันธ์งาน หรือแม้แต่ถังขยะ SCGP ก็นำกระดาษมาเป็นวัตถุดิบหลักในการใช้งาน

 

หลังเสร็จสิ้นการใช้งาน นอกจากจะนำกระดาษมาทำเป็นกล่องให้ผู้เข้างานใส่ของกลับบ้านแล้ว SCGP ยังนำบูทกระดาษมารีไซเคิลใหม่ ผลิตเป็นชั้นวางหนังสือรักษ์โลกให้น้อง ๆ ในโรงเรียนที่ขาดแคลน ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะได้อีกด้วย

 

การนำกระดาษมาใช้เป็นวัสดุจัดงานประชุมหรืองานนิทรรศการไม่เพียงใส่ความคิดสร้างสรรค์ ดีไซน์เป็นสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย ไร้ข้อจำกัดแล้วยังแข็งแรงทนทาน ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า สร้างความประทับใจให้ทุกคน และเป็นการร่วมมือกันดูแลสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นอีกด้วย

 

ข้อดีของบูทกระดาษ

  • น้ำหนักเบา
  • ขนย้ายง่าย
  • ติดตั้งได้เร็วกว่านิทรรศการแบบเดิมถึง 2 เท่า 
  • ดีไซน์สวยงามสะดุดตา 
  • ใช้งานได้ตลอดทั้งปี หรือประมาณ 14 ครั้ง

 

DAIRY HOME วิสาหกิจเพื่อสังคมที่เติบโตอย่างยั่งยืน

หลังจากได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตนมในรูปแบบฟาร์มอินทรีย์ คุณพฤฒิ เกิดชูชื่น ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ
บริษัทแดรี่โฮม วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ได้นำเอาองค์ความรู้ที่รวบรวมมาจากหลายแหล่งในต่างประเทศ มาลองปรับใช้กับสภาพแวดล้อมแบบเมืองไทย โดยชักชวนเกษตรกรฟาร์มโคนมให้ปรับเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการแบบฟาร์มอินทรีย์ เพื่อให้ได้น้ำนมที่มีคุณภาพสูง และสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก 100 เปอร์เซ็นต์
ในโอกาสนี้เราจึงถือโอกาสไปล้อมวงนั่งฟังเรื่องเล่าของคุณพฤฒิ ทั้งแง่คิดในการดำเนินธุรกิจ ทั้งมุมมองเรื่องวิสาหกิจเพื่อสังคม ตลอดจนเรื่องราวการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์อย่าง SCGP ไปพร้อมกัน

 

เพาะเมล็ดเกษตรอินทรีย์ต้องใช้เวลา

“ช่วงแรก ๆ เราเรียกว่าช่วง Learning Curve มีความท้าทายมากมายครับ เพราะแนวคิดแบบนี้ในประเทศไทยยังไม่มีใครทำมาก่อน และการทำฟาร์มโคนมมี Value Chain ที่ยาวมาก เกษตรกรไม่ได้เป็นผู้ผลิตปัจจัยการผลิตเองทั้งหมด ต้องพึ่งพาจากหลายที่ ซึ่งแต่เดิมเราผลิตนมแบบเน้นปริมาณ วัวหนึ่งตัวจะถูกผลักดันให้ได้น้ำนมเยอะ ๆ แต่ปัจจุบันเราเปลี่ยนมาทำฟาร์มแบบออร์แกนิก เป็นการผลิตที่มองเรื่องความเหมาะสมเป็นหลัก เกษตรกรผลิตอาหารวัวได้เองในฟาร์ม ทำให้วัวได้กินอาหารที่เหมาะกับเขาจริง ๆ ส่งผลให้ต้นทุนลดลงและกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น เรื่องนี้ต้องใช้เวลาจึงจะเห็นผล เราจึงไม่รีบร้อน กว่าจะเห็นดอกผลจริง ๆ คือ ปีที่ 10 แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเราอยากให้แนวคิดนี้มันแจ่มชัดจริงๆ ไม่ใช่การเอาผลประโยชน์เยอะ ๆ มาจูงใจ

 

“จากการเริ่มต้นแค่ฟาร์มเดียว ในวันนี้มีฟาร์มที่ทำนมอินทรีย์กับเราประมาณ 30 ฟาร์ม นอกจากนี้ เรายังร่วมมือกับเกษตรกรที่ทำฟาร์มประเภทอื่นด้วย เพราะการทำเกษตรอินทรีย์พร้อมกันหลาย ๆ อย่างจะช่วยเกื้อกูลกัน”

 

วิสาหกิจเพื่อสังคมที่เติบโตอย่างยั่งยืน

โมเดลธุรกิจแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมของแดรี่โฮมมาจากเหตุผลที่น่าสนใจหลายข้อรวมกัน ทั้งการผลิตนมที่มีคุณภาพปลอดสารปนเปื้อนเพื่อผู้บริโภค ความยั่งยืนในอาชีพของเกษตร และการลดภาระของสิ่งแวดล้อม ด้วยการงดใช้สารเคมีในการเกษตร ซึ่งเป็นเหมือนเข็มทิศในการดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ต้น

 

“ในการทำธุรกิจ สิ่งที่เรายึดถือมาตลอดคือ การเป็น Social Enterprise ซึ่งเป็นโมเดลที่ดูแลทั้งตัวเอง ชุมชนและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนต้องได้ประโยชน์จากการทำงานของเราร่วมกัน เหตุผลในการคงอยู่ของธุรกิจคือ สามารถแก้ปัญหาหรือสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับผู้บริโภค ชุมชน หรือสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนไปด้วยกัน ในปัจจุบันธุรกิจต้องรวมทุกคนเข้ามาเป็นผู้ส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งพนักงาน คู่ค้า สิ่งแวดล้อมและชุมชน

 

“ปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์ของเราแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ 1. นมพร้อมดื่ม 2. โยเกิร์ต และ 3. นมอัดเม็ด และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกหลายอย่างที่ไม่ได้ทำตลาดมากนัก เราเชื่อว่าสินค้าจะต้องไปได้ด้วยตัวเอง ผู้บริโภคชิมแล้วช่วยบอกต่อโดยที่เราไม่ต้องโฆษณาเยอะ

 

“ในการวางแผนเพื่อการเติบโตของธุรกิจนั้น ทุกอย่างต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ทั้งแผนด้านวัตถุดิบ ความต้องการของตลาด ความสามารถของทีมงาน และกำลังการผลิตของโรงงาน ตัวอย่างเช่น สถานการณ์ช่วงโควิด 19 ที่เมื่อเราพบว่าคนอยู่บ้านมากขึ้น เราก็สามารถออกสินค้าและทำการตลาดสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ เพื่อส่งเสริมให้ยอดขายเราดีขึ้นนอกจากนี้ ที่ผ่านมาเรายังได้เกษตรกรกลุ่มใหม่ที่ผ่านการตรวจรับรองเกษตรอินทรีย์มาเพิ่ม ทำให้สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้อีกด้วย จริง ๆ แล้วผลิตภัณฑ์ที่เราพัฒนางานวิจัยมานั้นยังมีอีกจำนวนมากและเราทำงานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ตอบโจทย์ลูกค้าต่อไปครับ”

 

นวัตกรรม ต้องกล้าลงมือทำ เพื่อตอบโจทย์แท้จริง

นวัตกรรม ต้องกล้าลงมือทำ เพื่อตอบโจทย์แท้จริง

 

นวัตกรรมเป็นมากกว่าการคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ หรือการใส่เทคโนโลยีล้ำสมัยลงไปในสิ่งต่างๆ เพราะจริงๆ แล้วหัวใจสำคัญของนวัตกรรมคือ การเป็นโซลูชันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคหรือกลุ่มลูกค้าได้จริง จนกระทั่งเกิดการยอมรับทั้งในมิติด้านเทคโนโลยีและด้านการตลาด ซึ่งควรพัฒนาควบคู่กันไปอย่างยั่งยืน ดังนั้นการจะสร้างนวัตกรรมตามแนวทางดังกล่าวจึงจำเป็นต้องอาศัยการพัฒนาผ่านการทดลองและลงมือทำจริง พิสูจน์คุณค่าของนวัตกรรมนั้นให้ลูกค้าเห็นและยอมรับ สามารถตัดสินใจซื้อได้ทันที

 

นวัตกรรมเกิดจากการคิดที่จะ “เปลี่ยนแปลง”

 

นวัตกรรมสุดคลาสสิกแบรนด์หนึ่งของโลกอย่าง Coca-Cola เครื่องดื่มรสโคล่าผสมโซดา ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคที่ผู้คนอเมริกันนิยมดื่มเครื่องดื่มชูกำลังนอกบ้าน การค้นพบรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เพียงทำให้โค้กได้รับความนิยมต่อเนื่อง หากยังรวมถึง “ขวดบรรจุภัณฑ์ทรงเอวคอด” ที่เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1915 อัตลักษณ์ที่สร้างภาพจำแก่ลูกค้ามานานกว่าร้อยปี และตอบโจทย์การจับ ถือ หรือยกดื่มได้สะดวก แม้ว่าโค้กจะเลือกเปลี่ยนแปลงดีไซน์ขวดเพียงเล็กน้อย ก็ยังคงยืนหนึ่งในตลาดเครื่องดื่มได้เรื่อยมา สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้งาน และการสร้างภาพจำ ซึ่งผ่านการยอมรับของกลุ่มผู้บริโภคอย่างหนึ่งด้วย

 

นวัตกรรมจึงไม่ใช่ “สิ่งใหม่ที่หวือหวา” เสมอไป แต่อาจเป็นการพัฒนาสินค้าเดิมเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้มีคุณค่ามากกว่าเดิม เพื่อให้สินค้านั้นยังครองใจผู้บริโภค เรียกว่า Sustaining Innovation นวัตกรรมกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักได้รับการตอบรับที่ดีและธุรกิจยังคงแข่งขันได้ทุกยุคสมัย

 

นวัตกรรมอีกรูปแบบหนึ่งคือ Breakthrough Innovation การสร้างสิ่งใหม่ที่ทำให้เรารู้สึก “ว้าว” การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมักจะเข้ามาพลิกโฉมโลกและส่วนใหญ่มีเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยขับเคลื่อน เช่น การเกิดขึ้นของ MP3 ที่เคยเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการฟังเพลงผ่านเทปแคสเซ็ต หรือไอโฟนที่นำไปสู่การเติบโตของตลาดสมาร์ตโฟน รวมถึงการพัฒนาระบบดูภาพยนตร์แบบสตรีมมิ่งของ Netflix ที่อำนวยความสะดวกให้คนที่อยากเสพคอนเทนต์ภาพยนตร์และซีรีส์แบบเข้าถึงง่าย ทำให้ธุรกิจซีดี ดีวีดี โรงภาพยนตร์ และโทรทัศน์ค่อย ๆ เสื่อมความนิยม เป็นต้น นวัตกรรมเหล่านี้ได้ก่อเกิดสิ่งใหม่ที่เข้ามาทำตลาดแทนที่ธุรกิจแบบเดิมการยอมรับจากผู้คนทั่วโลกก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดว่า นี่คือนวัตกรรมที่ถูกคิดค้นมาอย่างดี พิสูจน์แล้วว่าตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และสร้างแรงกระเพื่อมไปสู่ธุรกิจอื่นที่ต้องการส่วนแบ่งการตลาด ว่ากันว่าธุรกิจใหญ่ ๆ ในโลกต่างก็คิดค้นนวัตกรรมทั้ง 2 รูปแบบนี้ควบคู่กันไปเพื่อให้ธุรกิจเดิมยังคงครองตลาดได้ และเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมาพลิกความนิยมของผู้คน อย่าง TikTok ที่ค่อย ๆ ได้รับความนิยมแทนที่ Facebook และ YouTube

 

สร้างนวัตกรรมที่พิสูจน์ให้ลูกค้ายอมรับและยอมจ่าย

 

การสร้างสรรค์นวัตกรรมให้เป็นแค่สิ่งใหม่ ไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เพียงอย่างเดียว แต่ไม่สามารถตอบโจทย์หรือช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้จริง นวัตกรรมนั้นย่อมไม่ยั่งยืน ไปต่อได้ยาก และไม่อาจเป็นนวัตกรรมที่แท้จริงได้ แต่จะเป็นแค่สิ่งประดิษฐ์ ดังนั้น การเข้าใจและเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคจริง ๆ คือสิ่งแรกที่นวัตกรต้องใช้เวลาศึกษาและเรียนรู้ เพื่อคิดหาแนวทางสร้างสรรค์บางสิ่งขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการแก่ผู้ใช้งานสิ่งนั้น ๆ ตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น Canva แอปพลิเคชันที่ช่วยให้ทุกคนสามารถออกแบบอาร์ตเวิร์กสวย ๆ ได้เหมือนกราฟิกดีไซเนอร์มืออาชีพ ตอบรับยุคสมัยที่ทุกคนต้องการ สร้างแบรนด์หรือภาพลักษณ์ของตนเองผ่านโซเชียลมีเดีย โดยไม่จำเป็นต้องจ้างมืออาชีพมาทำ แต่สามารถสร้างสรรค์งานผ่านเทมเพลตที่มีมาให้แล้ว หรือจะเป็นเมาส์คอมพิวเตอร์ของสตีพ จอบส์ ที่แม้จะไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่กลับเป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยม นั่นเพราะมันสามารถทำให้เกิดความต้องการในตลาดได้จริง

 

ว่ากันว่าการที่สิ่งประดิษฐ์จะกลายเป็นนวัตกรรมได้อย่างแท้จริง สิ่งประดิษฐ์ นั้น ๆ จำเป็นต้องทำให้เป็นธุรกิจ สามารถสร้างการซื้อ ขาย หรือเกิด Commercialization ตามมาด้วยเสมอ นั่นคือ เกิดการนำเข้าสู่ตลาด หรือการทำให้สิ่งประดิษฐ์นั้นเป็นที่ต้องการในตลาดจริง ๆ ตอบโจทย์หรือแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ ลูกค้าพึงพอใจจนเกิดการยอมรับและยอมจ่ายเงินให้แก่สิ่งนั้น อาจเป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะรู้ล่วงหน้าว่าลูกค้าต้องการนวัตกรรมแบบไหน แต่คงไม่ยากเกินไปที่จะเข้าใจพฤดิกรรมและความต้องการของมนุษย์ด้วยกัน แล้วลองสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่ตอบสนองความต้องการเหล่านั้นให้ได้ จนเกิดเป็นธุรกิจที่ผู้คนยอมรับ แล้วเราจะค้นพบเองว่า สิ่งที่เราทุ่มเทสร้างสรรค์นั่นละคือ “นวัตกรรม” ที่ผู้คนกำลังตามหา

ส่องโมเดลธุรกิจแบรนด์ “เฟสท์ by SCGP” บรรจุภัณฑ์อาหารรักษ์โลก พร้อมส่งต่อความสะดวกสบาย เพื่อความยั่งยืน

ปัจจุบันนี้แพลตฟอร์มการส่งอาหาร (Food Delivery) เกิดขึ้นมากมาย และได้รับความนิยมสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในช่วงก่อนที่หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทยจะเกิดวิกฤตการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ซึ่งในช่วงนั้นต้องยอมรับเลยว่าธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรีเติบโตได้แบบก้าวกระโดด และสินค้าประเภทบรรจุภัณฑ์อาหารก็เติบโตด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามภายหลังจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 เริ่มลดลงไปอย่างชัดเจน แต่เทรนด์ธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรีหรือการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์อาหารก็ยังไม่หมดไป เพราะพฤติกรรมของการรับประทานอาหารที่บ้าน รวมไปถึงไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย

SCGP หรือ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่เป็นผู้นำด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาค มีหนึ่งในธุรกิจหลักที่มีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ บรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัย ภายใต้แบรนด์ เฟสท์ (Fest) ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากความใส่ใจสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค จึงได้คิดค้นและพัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารที่สะอาด ปลอดภัย สามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรง เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการใช้งานบรรจุภัณฑ์ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจอาหารและธุรกิจบริการอาหารเดลิเวอรี และเทรนด์สำคัญของโลกในปัจจุบันที่ตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อม

สำหรับบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยเฟสท์นั้น มีให้เลือกใช้หลากหลายประเภท ทั้งวัสดุ รูปทรง ขนาด และดีไซน์ ไม่ว่าจะต้องการบรรจุภัณฑ์สำหรับเมนูไหน ก็ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ

ในปัจจุบันมีสินค้า 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ เฟสท์ ช้อยส์, เฟสท์ ไบโอ, เฟสท์ เดลี่ และเฟสท์ ชิลล์ โดยบรรจุภัณฑ์อาหารทั้ง 4 กลุ่มจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เพื่อให้เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับการใช้งาน

นอกจากนี้เฟสท์ยังมีบรรจุภัณฑ์ที่พัฒนาพิเศษสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ถาดกระดาษเนื้อสดแช่เย็นและถาดอาหารแช่เย็นพร้อมทาน ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อความยั่งยืนที่เฟสท์พยายามพัฒนาบรรจุภัณฑ์เยื่อและกระดาษให้มีความแข็งแรง ทนทานมากขึ้น จนสามารถใช้งานเทียบเท่ากับบรรจุภัณฑ์ชนิดอื่น ๆ ได้

โอกาสและเทรนด์การเติบโต
เทรนด์บรรจุภัณฑ์ที่น่าจับตามองในปี 2566 คือ การใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิล หรือย่อยสลายได้และวัสดุมีน้ำหนักเบา การลดขนาดบรรจุภัณฑ์เพื่อลดการใช้วัสดุสิ้นเปลืองและช่วยลดการเน่าเสียของสินค้าเพื่อให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่ามากที่สุด การออกแบบเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ บรรจุภัณฑ์ชีวภาพย่อยสลายได้ทางชีวภาพฉลากแบบล้างออกได้ง่าย ซึ่งนั้นก็หมายความว่าผลิตภัณฑ์จากเฟสท์กำลังตอบโจทย์ และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตามเทรนด์

แผนกลยุทธ์หลัก 2 ประการ
ไม่เพียงแค่ ผลิตภัณฑ์เฟสท์ จะตอบโจทย์เทรนด์แล้ว เฟสท์ยังได้มีแผนพัฒนาธุรกิจด้วย 2 กลยุทธ์หลักที่ถือเป็นหัวใจสำคัญ ได้แก่ เน้นการพัฒนาบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความหลากหลายและตอบสนองความต้องการที่ใช้กับฟู้ดเดลิเวอรี โดยเน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ Printing Solutions เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบรรจุภัณฑ์อาหารและตอบรับกับกระแสการรักษ์สิ่งแวดล้อม

รวมไปถึงยังได้มุ่งเข้าสู่ตลาด B2B โดยใช้ความเชี่ยวชาญในการออกแบบและเทคโนโลยีการผลิต ที่ตอบรับกับเทรนด์บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน (Sustainable Packaging) ซึ่งสามารถเข้ากับกระบวนการผลิต การใช้งาน และตอบโจทย์การใช้งานได้ตามความต้องการของลูกค้าอย่างครบถ้วน ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารและกลุ่มผู้ผลิตอาหาร

กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารได้มีการนำเสนอโซลูชันเพื่อเป็นไอเดียให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารได้เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม สามารถสร้างเอกลักษณ์ด้วยลวดลายพิมพ์เฉพาะของทางร้าน เพื่อสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นและสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้า

โดย Fest Solutions มีบริการให้คำปรึกษาด้านการออกแบบ รวมไปถึงการผลิตบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งเป็นผู้นำเทรนด์บรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่ในตลาด อาทิ เซ็ตปิ่นโต 3 ชั้น กล่องอาหารเมนูเซ็ตพร้อมทาน เบเกอรี่บ็อกซ์เซ็ต ซึ่งในปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 300 ราย

สำหรับลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตอาหาร เฟสท์มีทีมวิจัยและพัฒนาร่วมกับลูกค้าโดยเฉพาะ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ วางแผน วิจัยและพัฒนาร่วมกันกับลูกค้า รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ ทำให้ได้บรรจุภัณฑ์ที่เข้ากับกระบวนการผลิตของลูกค้าและตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบถ้วน

2 ตัวอย่างการส่งมอบโซลูชันที่เกิดขึ้นระหว่างเฟสท์กับลูกค้ากลุ่ม B2B ซึ่งมีแผนที่จะนำออกสู่ตลาดในปี 2566 นั้น ได้แก่

ถาดกระดาษเนื้อสดแช่เย็น (Fresh Pak) บรรจุภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อโลกที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยเฟสท์ได้ ร่วมพัฒนากับแบรนด์ S-Pure ในเครือเบทาโกร คิดค้นและพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์การใช้งาน และเพิ่มปริมาณการใช้ Renewable Material ได้อย่างน้อย 80% สามารถใช้งานได้ในอุณหภูมิ 3-5 องศาเซลเซียส และยังคงความแข็งแรง ไม่ยุบยวบแม้จะอยู่ในสภาวะเปียกชื้น 

อีกทั้งยังคงความแข็งแรง และคุณสมบัติในการเก็บรักษาความสดของเนื้อสดได้ตามมาตรฐานของลูกค้า  ผลิตจากเยื่อยูคาลิปตัส เป็นไม้เศรษฐกิจที่เติบโตเร็ว สามารถปลูกหมุนเวียนได้ และยังสามารถรีไซเคิลได้อีกด้วย

ถือเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนของโลก โดยที่ยังคำนึงถึงการใช้งานของผู้ประกอบการและผู้บริโภค ซึ่งเป็นรายแรกที่ใช้บรรจุภัณฑ์ถาดกระดาษสำหรับเนื้อสด นอกจากจะได้สุขภาพดีจากการรับประทานผลิตภัณฑ์คุณภาพจาก S-Pure แล้ว ยังได้ร่วมรักษ์โลกไปพร้อมกันด้วย โดยบรรจุภัณฑ์ถาดกระดาษเนื้อสดแช่เย็น Fresh Pak  มีวางจำหน่ายที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ

อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์คือ Redi Pak ถาดอาหารแช่เย็นพร้อมทาน นวัตกรรมที่จะช่วยรักษาความสดและรสชาติของอาหารรักษ์โลกไปอีกขั้นกับ Fest ด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์กลุ่มอาหารแช่เย็นพร้อมทาน ช่วยรักษาความสดและรสชาติของอาหารได้ดี โดยเปลี่ยนวัสดุหลัก 90% เป็นเยื่อยูคาลิปตัสที่สามารถย่อยสลายได้ภายใน 60 วัน ดีไซน์สวยงาม เสริมด้วยฟังก์ชันใช้งานง่าย สะดวก ถือได้ไม่ร้อนมือ จากเยื่อยูคาลิปตัสจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์ เคลือบด้วยฟิล์มที่สามารถบรรจุอาหารร้อนสูงสุด 100 องศาเซลเซียส มีการออกแบบโครงสร้างบรรจุภัณฑ์ให้แข็งแรง สามารถใช้กับเครื่องบรรจุอัตโนมัติได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ (Auto-process) โดยยังคงความสามารถในการผลิตได้ดี (Productivity) เหมาะสมกับกระบวนการ Top seal ด้วยฟิล์มเพื่อมองเห็นอาหาร ผ่านการทดสอบในเรื่องความสะอาดปลอดภัยอย่างเข้มงวด สามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรง

ถือเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งาน ส่งต่อความสะดวกสบาย ทั้งยังคำนึงถึงผลประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง โดยเฟสท์ได้พัฒนาร่วมกับแบรนด์ Reo’s Deli ซึ่งมีวางจำหน่ายที่ 7-eleven

ทั้งนี้ธุรกิจที่สนใจสามารถมาเยี่ยมชมและปรึกษาได้ที่ Fest ภายในงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX – Anuga Asia 2023 Pack & Go Festival (The next era of innovation and sustainability) ในระหว่างวันที่ 23-27 พฤษภาคม 2566 ณ อาคารชาเลนเจอร์ Hall 1 เลขที่บูธ 1-UU67 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี

ที่มา : ส่องโมเดลธุรกิจแบรนด์ “เฟสท์ by SCGP” บรรจุภัณฑ์อาหารรักษ์โลก พร้อมส่งต่อความสะดวกสบาย เพื่อความยั่งยืน | WEALTHY THAI

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรใหม่ HOLIS by SCGP CHO-LESS Cap ใส่ใจตัวเองทำได้ง่ายๆ ทุกวัน

บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรใหม่ “HOLIS by SCGP CHO-LESS Cap” (โฮลิส บาย เอสซีจีพี คอ-เลส แคป) ใส่ใจตัวเองทำได้ง่าย ๆ ทุกวัน นวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม มีส่วนช่วยปกป้องร่างกายให้ห่างไกลจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ โรค NCDs จากสมุนไพรเจียวกู่หลานที่อุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์กลุ่ม saponin เช่น Gypenoside และ Ginsenoside จากการเพาะเลี้ยงด้วยนวัตกรรมพิเศษเฉพาะของ SCGP ให้สารสำคัญสูงสม่ำเสมอ สะอาด ทันสมัย ปราศจากเชื้อจุลินทรีย์และสารปนเปื้อน ผสมผสานด้วยไลโคปีน จากมะเขือเทศ Ubiquinol หรือที่รู้จักกันในชื่อ Coenzyme Q1Resveratol จากผิวองุ่นแดงและโสม 3 สายพันธุ์ ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิตสูง ต้านอนุมูลอิสระ และให้พลังงานระดับเซลล์ ช่วยดูแลสุขภาพจากการทำงานหนัก พฤติกรรมการบริโภคและไลฟ์สไตล์ที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ อาทิ ไม่ออกกำลังกาย, สูบบุหรี่, ชอบสังสรรค์, กินขนมขบเคี้ยวหรือขนมหวาน โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงานที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ผลิตภัณฑ์ HOLIS by SCGP CHO-LESS Cap มีให้เลือกทั้งขนาดบรรจุกล่องละ 5 เม็ด และกล่องละ 30 เม็ด เลือกซื้อสินค้าได้แล้วที่ช่องทางออนไลน์ www.holisbyscgp.com, Facebook : HOLIS by SCGP, Line @SCGPHealthcare และอี-มาร์ตเกพลสชั้นนำ เช่น ช้อปปี, ลาซาด้า เป็นต้น พร้อมเพิ่มช่องทางจำหน่ายในร้าน WATSONS ทุกสาขาทั่วประเทศ 
 

SCGP ทำกำไรไตรมาสแรก 1,220 ล้านบาท รับตลาดฟื้น เดินหน้าลงทุน Starprint บรรจุภัณฑ์พรีเมียมในเวียดนาม รุกพัฒนานวัตกรรมระดับโลก ‘Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ’

SCGP แถลงผลไตรมาส 1 ปี 2566 เติบโตจากไตรมาสก่อน ทำรายได้ 33,729 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 มีกำไรสุทธิ 1,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 171 ผลจากยอดขายบรรจุภัณฑ์ที่ทยอยฟื้นตัวจากความต้องการของตลาดในภูมิภาคอาเซียนที่สูงขึ้น การท่องเที่ยวและภาคบริการโต การเปิดประเทศของจีน รวมถึงต้นทุนที่ลดลง และจากการดำเนินกลยุทธ์ขยายธุรกิจ M&P เสริมแกร่งธุรกิจต่อเนื่อง ล่าสุดเตรียมลงทุนร้อยละ 70 ใน Starprint Vietnam JSC ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พรีเมียมคุณภาพสูงชั้นนำในเวียดนาม พร้อมผนึก Origin Materials ร่วมวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสุดล้ำระดับโลก “Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ” เพื่อนำไปผลิตเป็นสารตั้งต้น Bio-PTA สำหรับการผลิต Bio-PET ตอบโจทย์ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 มีอัตราเติบโตที่ดีเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนการฟื้นตัวของตลาดบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะกระดาษบรรจุภัณฑ์ โดยมีรายได้จากการขาย 33,729 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อนหน้า มี EBITDA ทั้งสิ้น 4,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสำหรับงวด 1,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 171 จากไตรมาสที่ผ่านมา

การเติบโตดังกล่าวมาจากความต้องการกลุ่มบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศในอาเซียนและประเทศจีนที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และบรรจุภัณฑ์อาหารที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นหลังจากประชาชนคลายความกังวลต่อสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ SCGP ที่ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร โดยเฉพาะการมุ่งเน้นขยายการลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ตลอดจนการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับผลกระทบจากเศรษฐกิจและตลาดบรรจุภัณฑ์

นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนมาจากการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เพิ่มขึ้น และได้รับผลดีจากภาคการผลิตของจีนที่เริ่มฟื้นตัวหลังเปิดประเทศทำให้ปริมาณการส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้น อีกทั้งต้นทุนต่าง ๆ ได้แก่ ราคาพลังงาน วัตถุดิบและค่าระวางเรือขนส่งสินค้าที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่ออัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังคงมีความท้าทายจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังผันผวน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย รวมถึงความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง ทำให้การส่งออกสินค้าในกลุ่มสินค้าคงทนและสินค้าฟุ่มเฟือยชะลอตัว อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณบวกในการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป

นายวิชาญ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดบรรจุภัณฑ์ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 คาดว่ามีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะความต้องการภายในประเทศจากการขยายตัวของเศรษฐกิจและธุรกิจบริการ รวมถึงราคาวัตถุดิบที่เริ่มปรับตัวกลับเข้าสู่ระดับปกติและมีแนวโน้มทรงตัว ส่วนราคาพลังงานและค่าระวางเรือขนส่งมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการบริหารจัดการต้นทุน

SCGP มุ่งรักษาการเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อเนื่องด้วยการเดินหน้าตามกลยุทธ์การขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค โดยล่าสุด วันที่ 25 เมษายน 2566 SCGP ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงเจตนาการเข้าลงทุนใน Starprint Vietnam JSC (SPV) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษแข็งแบบพับได้ (Offset folding carton) ที่มีชื่อเสียงในประเทศเวียดนาม โดยคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเห็นชอบโครงการลงทุนเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วนร้อยละ 70 โดยมีมูลค่ากิจการรวมไม่เกิน 1,050 พันล้านดอง หรือประมาณ 1,534 ล้านบาท โครงการควบรวมกิจการ (M&P) นี้จะดำเนินการผ่านความร่วมมือกับ บริษัทสตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (Starflex) บริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) ที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งจะลงทุนร้อยละ 25 ใน SPV หลังจากธุรกรรมนี้เสร็จสิ้น ธุรกรรมข้างต้นอยู่ระหว่างการดำเนินการ คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดเผยขนาดของรายการและโครงสร้างการถือหุ้นตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่าด้วยการได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ต่อไป

Starprint Vietnam JSC (SPV)  เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษพรีเมียมคุณภาพสูง ได้แก่ บรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษแข็งแบบพับได้ (Offset folding carton) กล่องบรรจุภัณฑ์คงรูปคุณภาพสูง (Rigid boxes) และบรรจุภัณฑ์ที่เน้นความสวยงาม มีฐานลูกค้าหลักในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และเป็นที่ยอมรับจากบริษัทชั้นนำระดับโลก โดยมีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ขึ้นรูปแบบพิมพ์ออฟเซ็ท 16,500 ตันต่อปี และมีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษแบบคงรูป 8 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งมีฐานการผลิต 2 แห่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ลองบินห์ (อมตะ) ในจังหวัดด่งนาย (Dong Nai) ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม โดยในปี 2565 SPV มีรายได้ประมาณ 1,013 พันล้านดอง (ประมาณ 1,480 ล้านบาท) มีกำไรสุทธิหลังหักภาษี 92.5 พันล้านดอง (ประมาณ 135 ล้านบาท) และมีสินทรัพย์ 440 พันล้านดอง (ประมาณ 643 ล้านบาท) 

นอกจากนี้ SCGP ได้ทุ่มเทในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันเพื่อตอบโจทย์เมกะเทรนด์และไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค โดยล่าสุดได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือ (Joint Development Agreement หรือ JDA) กับ Origin Materials (ออริจิ้น แมตทีเรียลส์) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมกันพัฒนา “Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมระดับโลกในการนำชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ มาผ่านกระบวนการแปรรูปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง จนได้ Bio-PTA เพื่อนำไปผลิตเป็น Bio-PET ในการผลิตบรรจุภัณฑ์และสินค้าต่าง ๆ อาทิ บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์อาหาร สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และรองรับการใช้ Bio-PET ในหลากหลายอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้วัตถุดิบยั่งยืน และสามารถนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน SCGP ยังคงมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวคิด ESG 4 Plus อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ เป็นที่ยอมรับและได้รับการประเมินความยั่งยืนในระดับ Gold Class ผลการประเมินอยู่ในกลุ่มคะแนนสูงสุด 1% แรก (Top 1%) ในกลุ่มอุุตสาหกรรมบรรจุุภัณฑ์จาก S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) และเป็น Industry Mover หรือบริษัทจดทะเบียนที่มีพัฒนาการโดดเด่นและทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงบนรากฐานของความยั่งยืน