หลังจากได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตนมในรูปแบบฟาร์มอินทรีย์ คุณพฤฒิ เกิดชูชื่น ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ
บริษัทแดรี่โฮม วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ได้นำเอาองค์ความรู้ที่รวบรวมมาจากหลายแหล่งในต่างประเทศ มาลองปรับใช้กับสภาพแวดล้อมแบบเมืองไทย โดยชักชวนเกษตรกรฟาร์มโคนมให้ปรับเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการแบบฟาร์มอินทรีย์ เพื่อให้ได้น้ำนมที่มีคุณภาพสูง และสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก 100 เปอร์เซ็นต์
ในโอกาสนี้เราจึงถือโอกาสไปล้อมวงนั่งฟังเรื่องเล่าของคุณพฤฒิ ทั้งแง่คิดในการดำเนินธุรกิจ ทั้งมุมมองเรื่องวิสาหกิจเพื่อสังคม ตลอดจนเรื่องราวการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์อย่าง SCGP ไปพร้อมกัน
เพาะเมล็ดเกษตรอินทรีย์ต้องใช้เวลา
“ช่วงแรก ๆ เราเรียกว่าช่วง Learning Curve มีความท้าทายมากมายครับ เพราะแนวคิดแบบนี้ในประเทศไทยยังไม่มีใครทำมาก่อน และการทำฟาร์มโคนมมี Value Chain ที่ยาวมาก เกษตรกรไม่ได้เป็นผู้ผลิตปัจจัยการผลิตเองทั้งหมด ต้องพึ่งพาจากหลายที่ ซึ่งแต่เดิมเราผลิตนมแบบเน้นปริมาณ วัวหนึ่งตัวจะถูกผลักดันให้ได้น้ำนมเยอะ ๆ แต่ปัจจุบันเราเปลี่ยนมาทำฟาร์มแบบออร์แกนิก เป็นการผลิตที่มองเรื่องความเหมาะสมเป็นหลัก เกษตรกรผลิตอาหารวัวได้เองในฟาร์ม ทำให้วัวได้กินอาหารที่เหมาะกับเขาจริง ๆ ส่งผลให้ต้นทุนลดลงและกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น เรื่องนี้ต้องใช้เวลาจึงจะเห็นผล เราจึงไม่รีบร้อน กว่าจะเห็นดอกผลจริง ๆ คือ ปีที่ 10 แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเราอยากให้แนวคิดนี้มันแจ่มชัดจริงๆ ไม่ใช่การเอาผลประโยชน์เยอะ ๆ มาจูงใจ
“จากการเริ่มต้นแค่ฟาร์มเดียว ในวันนี้มีฟาร์มที่ทำนมอินทรีย์กับเราประมาณ 30 ฟาร์ม นอกจากนี้ เรายังร่วมมือกับเกษตรกรที่ทำฟาร์มประเภทอื่นด้วย เพราะการทำเกษตรอินทรีย์พร้อมกันหลาย ๆ อย่างจะช่วยเกื้อกูลกัน”
วิสาหกิจเพื่อสังคมที่เติบโตอย่างยั่งยืน
โมเดลธุรกิจแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมของแดรี่โฮมมาจากเหตุผลที่น่าสนใจหลายข้อรวมกัน ทั้งการผลิตนมที่มีคุณภาพปลอดสารปนเปื้อนเพื่อผู้บริโภค ความยั่งยืนในอาชีพของเกษตร และการลดภาระของสิ่งแวดล้อม ด้วยการงดใช้สารเคมีในการเกษตร ซึ่งเป็นเหมือนเข็มทิศในการดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ต้น
“ในการทำธุรกิจ สิ่งที่เรายึดถือมาตลอดคือ การเป็น Social Enterprise ซึ่งเป็นโมเดลที่ดูแลทั้งตัวเอง ชุมชนและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนต้องได้ประโยชน์จากการทำงานของเราร่วมกัน เหตุผลในการคงอยู่ของธุรกิจคือ สามารถแก้ปัญหาหรือสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับผู้บริโภค ชุมชน หรือสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนไปด้วยกัน ในปัจจุบันธุรกิจต้องรวมทุกคนเข้ามาเป็นผู้ส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งพนักงาน คู่ค้า สิ่งแวดล้อมและชุมชน
“ปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์ของเราแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ 1. นมพร้อมดื่ม 2. โยเกิร์ต และ 3. นมอัดเม็ด และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกหลายอย่างที่ไม่ได้ทำตลาดมากนัก เราเชื่อว่าสินค้าจะต้องไปได้ด้วยตัวเอง ผู้บริโภคชิมแล้วช่วยบอกต่อโดยที่เราไม่ต้องโฆษณาเยอะ
“ในการวางแผนเพื่อการเติบโตของธุรกิจนั้น ทุกอย่างต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ทั้งแผนด้านวัตถุดิบ ความต้องการของตลาด ความสามารถของทีมงาน และกำลังการผลิตของโรงงาน ตัวอย่างเช่น สถานการณ์ช่วงโควิด 19 ที่เมื่อเราพบว่าคนอยู่บ้านมากขึ้น เราก็สามารถออกสินค้าและทำการตลาดสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ เพื่อส่งเสริมให้ยอดขายเราดีขึ้นนอกจากนี้ ที่ผ่านมาเรายังได้เกษตรกรกลุ่มใหม่ที่ผ่านการตรวจรับรองเกษตรอินทรีย์มาเพิ่ม ทำให้สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้อีกด้วย จริง ๆ แล้วผลิตภัณฑ์ที่เราพัฒนางานวิจัยมานั้นยังมีอีกจำนวนมากและเราทำงานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ตอบโจทย์ลูกค้าต่อไปครับ”