SCGP Newsroom

เริ่มต้นทุกวันด้วย Passion

 

เมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง การเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองอะไรใหม่ ๆ จึงเป็นเรื่องน่าสนุก วันนี้เราได้นั่งคุยกับสอง AE ผู้ดูแลสินค้ากลุ่ม consumer product ที่จะต้องเข้าถึงผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดมากขึ้น พร้อมทั้งร่วมแชร์วิธีการที่ทั้งคู่ใช้รับมือกับโจทย์ใหม่ที่มีความท้าทายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

 

“FEEDBACK IS POWER. LISTENING TO EVERY VOICE.”

 

“จากเดิมปลาดูแลสินค้าแบบ B to B (Business to Business) เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ขายให้กับผู้ผลิต  ดีลผ่านผู้ประกอบการหรือฝ่ายจัดซื้อ ซึ่งขายหรือสื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรง ถ้าสินค้าไม่ตอบโจทย์

ก็ปรับหรือหาแนวทางพัฒนาร่วมกับลูกค้าได้ทันที แต่การขายสินค้าแบบ B to C (Business to Consumer) การปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคค่อนข้างยาก การทำการตลาดหรือการสื่อสารผ่านช่องทางต่าง ๆ จึงมีความสำคัญและท้าทาย ต้องปรับตัวและปรับกรอบความคิดในการทำงานใหม่เพื่อสู้กับความท้าทายนี้

“อย่างแรกคือ ต้องเปิดใจ เพื่อก้าวข้าม comfort zone การประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ เราต้องมองเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ ความต้องการของผู้บริโภค และต้องเปิดใจยอมรับความคิดเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงสินค้าให้ออกมาดีที่สุด เมื่อสินค้าออกสู่ตลาด แน่นอนว่า เราจะได้รับ feedback ทุกรูปแบบ เสียงชื่นชมก็เก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจ หรือกำลังใจในการทำงาน ส่วนคำแนะนำก็นำมาปรับปรุง พัฒนาสินค้า ของเราให้ดียิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างแท้จริง

“เป้าหมายของปลาคือ อยากพัฒนาสินค้าแบบ outside in ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ภายใน และนำสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริงออกสู่ตลาดให้ได้ ปลามองว่าสินค้าเป็นลูกคนหนึ่ง หากเราต้องการให้เขาเติบโตในอนาคต เราต้องวางรากฐาน เลี้ยงดูและคอยเฝ้าดูว่ามีอะไรที่ควรซัปพอร์ต เพื่อเติมเต็มให้เขาเติบโตอย่างมีคุณภาพ

“ในแต่ละวัน ปลามีสองอย่างที่คิดและทำอยู่เสมอ อย่างแรกคือ การประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งมีค่อนข้างเยอะ ปลาจะใช้วิธีการที่เรียกว่า catch ball คือ การส่งต่องานไปให้หน่วยงานอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว

และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด อย่างที่สองคือ การรับมือกับงานที่หลากหลาย ซึ่งจะเจอทั้งวันที่สมหวังและผิดหวัง ปลาจะหา small win สักเรื่องหนึ่งในแต่ละวัน เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานวันต่อไปให้มีประสิทธิภาพมากเท่าที่จะมากได้”

ปริญญาภรณ์ แสงสุข (ปลา)

Account Executive – Consumer Product, SCGP

 

 

“COLLABORATE WITH SENSE OF OWNERSHIP & SPEED.”
 

“เหมือนกับปลาครับ เดิมดูแลงานขายสินค้าแบบ B to B ที่เน้นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกค้า สร้างความเชื่อมั่นในการเป็นพาร์ตเนอร์พอเปลี่ยนมาดูแลสินค้าที่เป็น B to  C มีความรู้สึกที่แตกต่างกันมาก เพราะการใกล้ชิดกับผู้บริโภคต้องทำมากกว่าการเดินเข้าประตูไปหา

“เราต้องหาวิธีสื่อสารผ่านกิจกรรมการส่งเสริมทางการตลาดต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องใหม่ ต้องเรียนรู้หาข้อมูลเพิ่มเติม  เพื่อทำให้สินค้าใหม่ของเราเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งมีความท้าทายค่อนข้างมาก มีสองเรื่องสำคัญที่คิดอยู่เสมอคือ sense of ownership และ flexibility ในการทำงานเพราะสินค้า B to C นั้นต้องศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคก่อน ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ตลอดเวลา 7 วัน 24 ชั่วโมง ต่างจากเดิมที่เวลาการทำงานค่อนข้างชัดเจน หากต้องการเข้าถึงพฤติกรรมผู้บริโภค เราจะต้องวิเคราะห์ว่าเวลาไหนเขาจะซื้อของ อย่างออนไลน์เวลาที่ดีที่สุดคือ เวลากลางคืน นั่นแปลว่าเราต้องพร้อมที่จะเซอร์วิสหรือปิดการขายในช่วงเวลานั้น ถ้าคิดว่าเราเป็นส่วนหนึ่ง หรือมีความเป็นเจ้าของ เราจะรู้สึกว่าไม่ว่าเวลาไหนเราก็พร้อมให้บริการ

“อีกเรื่องคือ speed เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะตลาดมีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างไว การที่เราปรับตัวได้เร็วเท่าทันพฤติกรรมของผู้บริโภคจึงมีความสำคัญมาก ต้องกล้าตัดสินใจบนข้อมูลที่แม่นยำ และนำเสนอกิจกรรมทางการตลาดให้โดนใจและทันใจผู้บริโภคมากที่สุด

“สำหรับเป้าหมายของเดียวคือ การพัฒนาสินค้าให้ออกสู่ตลาดตรงตามกรอบเวลาที่วางไว้และตรงตามความต้องการของผู้บริโภคด้วย ดังนั้นการได้มาซึ่งเป้าหมาย เราต้องเป็นฟันเฟืองหลักในการประสานความร่วมมือของหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย หรือ customer science ที่คอยวิเคราะห์หาข้อมูลตลาด หรืองานหลังบ้านอย่างบริการลูกค้าเราต้อง collaborate ให้ทุกคนร่วมมือกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นเป้าหมายเดียวกันให้ได้ เพราะเราไม่สามารถทำได้คนเดียวแน่ ๆ

“หลักการทำงานของเดียวจะมองในเรื่อง passion เป็นหลัก เพราะถือเป็นจุดเริ่มต้นของทุกงาน เมื่อเรามีใจกับมันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคแบบไหนก็พร้อมที่จะเปิดใจรับ และค้นหาวิธีการต่าง ๆ มาใช้ ทุกวันจะตื่นนอนด้วยความรู้สึกที่อยากทำงาน อยากพัฒนาสินค้า และส่งไปถึงมือผู้บริโภคให้ดีที่สุด ถ้าเราเริ่มต้นด้วยความรู้สึกแบบนี้ เดียวว่าอุปสรรคมันจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย และเราสามารถก้าวข้ามมันไปได้ด้วยดี”

 

สุรพัชร์ แสวงศักดิ์ (เดียว)

Account Executive – Consumer Product, SCGP

 

สมภพ วิทย์วรสกุล : ความสำเร็จเริ่มต้นจากการลงมือทำ

หลายคนมักใช้ช่วงปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม การใช้ชีวิต แนวคิดในการทำงาน เพื่อพัฒนาตัวเอง P-DNA ฉบับนี้ จึงขอใช้โอกาสนี้ชักชวนพี่ตือ – สมภพ วิทย์วรสกุล Chief Regional Officer, SCOP และ General Director – Vina Kraft Paper Company Limited ประเทศเวียดนาม มาบอกเล่าประสบการณ์จากการทำงานที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงแนวคิดและแง่มุมดี ๆ เพื่อจุดประกายความคิดให้ใครหลายคนในโมเมนต์แห่งการเริ่มต้นปีใหม่นี้

 

วิศวกรผู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์อันหลากหลาย

ย้อนไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว พี่ตือเริ่มงานกับ SCGP ด้วยบทบาทวิศวกร ที่บริษัทสยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำกัด โรงงานบ้านโป่ง โดยหมุนเวียนเปลี่ยนงานในด้านการผลิตมาแล้วแทบทุกส่วน

“พี่เข้ามาเป็นวิศวกรอยู่ในงานผลิต ส่งเสริมการผลิต รวมไปถึงงานซ่อมบำรุง ช่วงนั้นบริษัทฯ ขยายตัว มีงานต่าง ๆ ให้ลองทำค่อนข้างเยอะได้โยกย้ายไปตามส่วนต่าง ๆ ทั้งโรงงานบ้านโป่งและวังศาลา เวลาพี่ ๆ มาถามว่าลองไหม พี่ลองทำหมด  เลยได้ทักษะค่อนข้างหลากหลาย และกลายเป็นคลังความรู้ที่เราเก็บสะสมเอาไว้

“หลังจากนั้นก็ได้ทุนไปเรียนต่อด้านเยื่อและกระดาษที่สหรัฐอเมริกา เป็นช่วงที่เราได้เห็นโลกมากขึ้น ได้เรียนรู้เทคโนโลยี ได้ใช้ภาษาอังกฤษ พอกลับเมืองไทยก็ถูกส่งไปประจำที่ประเทศฟิลิปปินส์ 3 ปี ก็กลับมาไทย มาอยู่ที่ส่วนงานวิศวกรรม ซึ่งเป็นช่วงจังหวะชีวิตที่นานที่สุด ถือเป็นข้อดีที่ทำให้เราได้เห็นภาพธุรกิจของ SCGP ทั้งหมด จนกระทั่งปัจจุบันย้ายไปประจำที่เวียดนาม ซึ่งเป็นงานที่ต้องดูทั้งหมด รวมถึงงานการตลาดและการขายด้วย นับว่าท้าทายที่เดียว”

 

ตอบโจทย์ลูกค้าด้วยการทำงานแบบ Dynamic

บทบาทใหม่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องท้าทาย เมื่อคนทำงานสายวิศวกรรมต้องเพิ่มทักษะเรื่องการให้บริการลูกค้ามากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงและตอบโจทย์ลูกค้าหรือผู้บริโภค แต่สำหรับพี่ตือ ประสบการณ์จากเส้นทางที่ผ่านมาช่วยให้เขามีมุมมองที่น่าสนใจและใช้ประโยชน์ได้ไม่รู้จบ

“ทักษะและความเชี่ยวชาญในโรงงาน เราทำมาครบหมด ส่วนเรื่องความเข้าใจและใส่ใจลูกค้าก็ฝึกจากงานภายในบริษัทที่ผ่านมา เพราะไม่ว่าจะเป็นงานวิศวกรที่ทำงานแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรืองานวิศวกรรมที่สร้งสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอด พี่มองว่าทุกหน่วยงานที่เราทำงานด้วยคือลูกค้า  เป็นการฝึกให้เรารับมือกับลูกค้าในเรื่องการให้บริการได้เป็นอย่างดี เพราะเขาจะสะท้อนกลับอย่างตรงไปตรงมา บางครั้งลูกค้าภายในโหดกว่าลูกค้าภายนอกอีก แต่ก็ทำให้เราได้รับ feedback ที่ดีมาก เพราะว่าเขารู้ลึกกว่า

“อีกเรื่องหนึ่งที่พี่ได้เรียนรู้จากลูกค้าภายในคือ ความ dynamic เพราะเขาต้องการความก้าวหน้า ถ้าเรามีนวัตกรรมสินค้าและบริการที่ดี เพิ่มมูลค่าสินค้าตอบโจทย์เขาได้ เขาก็พร้อมจะรับ เป็นพาร์ตเนอร์ที่โตไปด้วยกัน คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงจากลูกค้าภายในเอาไปปรับใช้กับลูกค้าภายนอกได้”

“ลองดู” จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ

ปัจจุบันลูกค้าต้องการสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ การคิดค้นอย่างสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อน SCGP สำหรับผู้บริหารอย่างพี่ตือ ในวันนี้อาจไม่ได้ลงมือทำเองทุกขั้นตอน แต่ยังคงนำทีมให้เดินหน้าไปได้ภายใต้แนวคิดรูปแบบการทำงานที่ไม่หยุดนิ่ง และพร้อมที่จะทดลอง เรียนรู้ตลอดเวลา

“เราต้องพยายามคิดสิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา สำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ต้องคิดให้ตกผลึก ต้องทดลอง พลาดไปบ้างก็ไม่เป็นไร มันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นครั้งหนึ่งเราเคยผลิตสินค้าแล้วล้มเหลว แต่เมื่อเวลาผ่านไปตลาดพลิกกลับมา กลายเป็นสินค้าที่มียอดขายอันดับหนึ่ง หรือตอนที่ตัดสินใจทำ solar roof เราก็ติดต่อไปยังสถานที่ราชการต่าง ๆ ให้มาร่วมพัฒนาด้วยกัน เวลาเขามีไอเดียใหม่ ๆ เราก็ลองดู จนมันสามารถสร้างประโยชน์ให้กับบริษัท พี่ชอบคำว่า ‘ลองดู’ นะ คำนี้ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ ๆ ขึ้นมาได้

“พี่ชอบเรื่อง sense of accomplishment ด้วย สมมุติว่าสินค้าไหนทำได้สำเร็จ พี่จะบอกกับน้อง ๆ ว่า มันสำเร็จแล้ว เป็น small win ดีใจด้วยกัน ทำให้คนรู้สึกกล้าที่จะลองทำ ถ้ามันยังขายไม่ได้ก็เก็บไว้ก่อน พี่ว่าการยอมรับกับสิ่งที่ทำขึ้นใหม่เป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องวัดความสำเร็จจากการขาย ได้เงินแล้วถึงมาชื่นชม แต่ดูว่าเราได้อะไรบ้าง จากสิ่งที่ทำออกมาแล้วมากกว่า พี่ว่าทุกคนจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองและกล้าที่จะทดลองต่อไป”

ยิ่งไปกว่านั้น ความท้าทายในฐานะผู้บริหารยังมีเรื่องของการจัดการความหลากหลาย ทั้งด้านวัยและวัฒนธรรมที่แตกต่าง พี่ตือเล่าว่า แม้จะไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด ก็ต้องเปิดใจเรื่องความต่างและหาวิธีเชื่อมโยงถึงกัน

“พี่ว่าเราใช้เครื่องมือที่มีอยู่รอบตัว บริหารจัดการเรื่องความต่างระหว่างวัยได้ เพราะเราไปทำตัวเป็นเด็กเหมือนเขาไม่ได้ ก็ดูว่าใครจะช่วยประสานหรือเข้าถึงเขาได้ ส่วนในเรื่องวัฒนธรรม อาจเป็นความโชคดี SCGP เราเริ่มจาก regional ก่อน ซึ่งพี่คิดว่า วัฒนธรรมไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เราต้องมองว่าทุกคนคือบริษัทเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ไม่น่าใช่เรื่องยากครับ”

 

เรียนรู้ไม่สิ้นสุด และมุ่งสร้างสิ่งดีเพื่อสังคม

ในช่วงท้ายพี่ตือฝากว่า จงสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง หากเปรียบเป็นก้อนหิน หน้าที่ของทุกคนคือ การเจียระไนตัวเองให้มีเหลี่ยมมุมที่สวยงามขึ้น อาจจะเหนื่อยและต้องใช้เวลา แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกคนจะเป็นเพชรที่งดงาม

“เราอยู่ในองค์กรใหญ่ที่มีคนเก่ง ๆ เยอะ เวลาเจอเรื่องที่ไม่เคยเจอ ลองหาคนที่รู้และขอความรู้จากเขา นอกจากจะได้งานแล้ว ยังทำให้เกิดการ collaboration ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และสามารถนำไปใช้ข้างนอกองค์กรได้ด้วย

“ในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม อย่ามองแค่การก่ออิฐ แต่ให้มองเป็นการสร้างโบสถ์ เพราะสิ่งที่ SCGP ทำคือการสร้างสิ่งดี เราต้องเดินหน้าทำสิ่งที่ดีกว่าเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี บางโครงการถ้าเราทำสำเร็จ มันจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรได้มาก หรือว่าสร้างคุณค่าให้กับโลกได้มากขึ้น พี่ว่าวิธีนี้จะทำให้เราเห็นคุณค่า รู้สึกภูมิใจและชื่นชมกับสิ่งที่เราทำมากขึ้น”

 

 

SCGP เติบโตโดดเด่น ปี 64 ทำรายได้ 124,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 วางเป้าปี 65 สร้างรายได้ 140,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจใน 5 ปีด้วยงบ 100,000 ล้านบาท

SCGP ชูผลประกอบการปี 2564 เติบโตโดดเด่น ทำรายได้จากการขาย 124,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 และกำไรสำหรับปี 8,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 จากปีก่อน จากการขยายพอร์ตสินค้าตอบสนองความต้องการด้านบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายและขยายการลงทุนตามแผนกลยุทธ์ พร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 65 กำหนดเป้ารายได้ 140,000 ล้านบาท พร้อมกับวางงบลงทุนใน 5 ปีไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท  

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2564 สามารถสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง โดยมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 124,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากปีก่อน มีกำไรสำหรับปี 8,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 จากปีก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 21,150 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากปีก่อน

ผลการดำเนินงานปี 2564 ที่เติบโตอย่างมั่นคง ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดและการกลายพันธุ์ของโควิด 19 การหยุดชะงักของห่วงโซอุปทาน การขาดแคลน
ตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าและอัตราค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูง มาจากการบริหารโมเดลธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยกลยุทธ์มุ่งเน้นนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ การพัฒนาสินค้านวัตกรรมและการขยายพอร์ตสินค้าให้สามารถตอบสนองความต้องการด้านบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค รวมถึงการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในรูปแบบ Organic Expansion และ Merger and Partnership (M&P) และการวางแผนบริหารจัดการสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นับจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน SCGP ได้ขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่น ๆ ใช้เงินลงทุนรวมตลอดอายุโครงการประมาณ 40,000 ล้านบาท ทั้งการควบรวมกิจการ (Merger & Partnership หรือ M&P) และการขยายกำลังการผลิตของบริษัทฯ รวม 12 โครงการ ในจำนวนนี้ดำเนินการแล้วเสร็จ 9 โครงการ ส่วนอีก 3 โครงการอยู่ระหว่างดำเนินการในปัจจุบัน ได้แก่ (1) การขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ของ United Pulp and Paper Co., Inc. (UPPC) ประเทศฟิลิปปินส์ อีก 220,000 ตันต่อปี คาดว่าแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 (2) ขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารในประเทศไทยและประเทศเวียดนามอีก 1,838 ล้านชิ้นต่อปี คาดว่าแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 และ (3) โครงการก่อสร้างฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษบรรจุภัณฑ์แห่งใหม่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ภายใต้ Vina Kraft Paper Company Limited (VKPC) ด้วยกำลังการผลิต 370,000 ตันต่อปี คาดว่าแล้วเสร็จในปี 2567

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน โดยมีรายได้จากการขาย 35,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวด 2,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA เท่ากับ 5,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มากขึ้นในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และบรรจุภัณฑ์อาหาร (Foodservice Products) โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปลายปี รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศ รวมถึงการรวมผลประกอบการของบริษัทที่ทำ M&P ได้แก่ Go-Pak, Duy Tan, Intan Group และ Deltalab

ส่วนภาพรวมความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการบริโภคที่ฟื้นตัวหลังจากรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด 19 โดยเฉพาะประเทศเวียดนามที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและซัพพลายเชนทยอยฟื้นตัวใกล้เคียงภาวะปกติ ในขณะที่ราคาเยื่อกระดาษปรับลดลงจากประเทศผู้นำเข้ารายหลัก

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีพิจารณาการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของปี 2564 ในอัตรา 0.65 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2564 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายใน 0.40 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 25 เมษายน 2565 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 7 เมษายน 2565 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือ วันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 5 เมษายน 2565

นายวิชาญ กล่าวต่อว่า ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและการบริโภคในปี 2565 จะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด 19 ในประเทศต่าง ๆ ส่วนค่าระวางเรือขนส่งจะยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ภาวะเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยกดดันภาคการผลิตและการบริโภค อย่างไรก็ตาม SCGP มีความมุ่งมั่นโดยวางเป้าหมายรายได้จากการขายในปีนี้ที่ 140,000 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยมาจากการรับรู้รายได้เต็มปีจากดีลที่ควบรวมกิจการในปีที่ผ่านมาและโครงการขยายกำลังการผลิตที่จะแล้วเสร็จในปีนี้ อีกทั้งบริษัทฯ ได้วางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องภายใต้งบลงทุน 5 ปี ไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ทั้งในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักของ SCGP รวมถึงพิจารณาโอกาสขยายการลงทุนที่เหมาะสมในภูมิภาคอื่น ๆ

นอกจากนี้ SCGP ยังคงดำเนินธุรกิจโดยมีสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) เป็นกรอบแนวคิดสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่ง โดยในปี 2564 บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment หรือ THSI) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้รับรางวัล Rising Star Sustainability Awards จาก SET Awards 2021 และได้รับการจัดให้อยู่ในลำดับ Gold Medal จาก EcoVadis Sustainability Rating และเพื่อยกระดับนโยบายด้าน ESG บริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ด้วย

SCGP ส่งต่อแรงบันดาลใจ “โปรโม – โปรเม” คู่พี่น้องนักกอล์ฟระดับโลก เผยเคล็ดลับสู่เป้าหมายความสำเร็จ

SCGP ส่งต่อแรงบันดาลใจจาก “โปรโม – โปรเม” สองนักกอล์ฟหญิงไทยที่ประสบความสำเร็จระดับโลกและเป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ ในด้านความมุ่งมั่นพัฒนาตนเองและเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีระหว่างกัน สอดคล้องกับธุรกิจของ SCGP ที่กำลังขยายจากอาเซียนสู่ระดับโลก พร้อมเป็นพันธมิตรเพื่อร่วมเติบโตไปด้วยกัน

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2564 บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ได้จัดงาน “Inspiration LIVE Talk by SCGP” ในรูปแบบ LIVE Talk ร่วมพูดคุยกับโปรกอล์ฟสองพี่น้องที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก “โปรโม –  โมรียา จุฑานุกาล” และ “โปรเม – เอรียา จุฑานุกาล” เพื่อเจาะลึกถึงแรงบันดาลใจ แนวคิดในเส้นทางนักกีฬาและเคล็ดลับสู่เป้าหมายรวมถึงความสำเร็จในระดับโลก สำหรับนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตและการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนให้นักกอล์ฟเยาวชน 30 คน ได้ร่วมกิจกรรม Golf Clinic เพื่อเพิ่มพูนทักษะและส่งต่อแรงบันดาลใจแก่เยาวชน

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า SCGP ได้ให้การสนับสนุนโมรียา จุฑานุกาล หรือโปรโม และเอรียา จุฑานุกาล หรือโปรเม ซึ่งเป็นสองนักกอล์ฟหญิงไทยที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก และเป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและความมุ่งมั่นตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง พร้อมเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โปรโมและโปรเมแสดงให้เห็นถึงสิ่งสำคัญในการเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีระหว่างกัน ช่วยส่งเสริมและเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน จนสามารถประสบความสำเร็จทั้งในระดับประเทศและระดับโลก สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองและประเทศชาติ จากการคว้าแชมป์รายการแข่งขันกอล์ฟระดับโลก สอดคล้องกับ SCGP ที่กำลังขยายธุรกิจจากภูมิภาคอาเซียนสู่ระดับโลก เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย อังกฤษ และสเปน เพื่อตอบสนองความต้องการด้านบรรจุภัณฑ์แก่ผู้บริโภคในภูมิภาคต่าง ๆ ตามเมกะเทรนด์ของโลก

“SGCP มีแนวคิดการดำเนินธุรกิจโดยมองลูกค้าและคู่ค้าเป็นพาร์ทเนอร์หรือพันธมิตร ร่วมคิด ร่วมพัฒนาและร่วมสร้างการเติบโต เพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่ พัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพ และโลกที่ยั่งยืนไปด้วยกัน จึงทำให้ SCGP ตัดสินใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนโปรโมและโปรเม ซึ่งเป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ โดยเราอยากเป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ในการสร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจในระดับโลกให้กับคนไทยต่อไป และส่งต่อแรงบันดาลใจแก่ทุกคน ได้มุ่งมั่นพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้สำเร็จ” นายวิชาญ กล่าว

ด้านโปรเม-เอรียา จุฑานุกาล คู่พี่น้องโปรกอล์ฟหญิงชั้นนำระดับโลก กล่าวว่า จากประสบการณ์ในการเป็นนักกอล์ฟอาชีพที่มีโอกาสแข่งขันในรายการต่าง ๆ อยากส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับทุกคนว่าการจะประสบความสำเร็จได้นั้น สิ่งสำคัญคือการโฟกัสและกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ (Passion) ในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดีที่สุด และหากเป้าหมายนั้นมีความสำคัญ ก็จะทำทุกอย่างด้วยความสนุกและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

ส่วนในการแข่งขันเมื่อต้องเจอกับแรงกดดันอื่น ๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาการจะจัดการกับภาวะกดดันและความคาดหวังจากบุคคล ได้เรียนรู้ว่าต้องโฟกัสที่เป้าหมายของตนเองเป็นหลักและทำภารกิจในแต่ละวันให้ดีที่สุด ไม่ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะเป้าหมายและความสำเร็จของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน และเมื่อเจอกับปัญหาอุปสรรคก็จะนำบทเรียนในอดีตมาปรับใช้ โดยสิ่งสำคัญคืออย่าหยุดเชื่อมั่นในตนเอง ในวันที่คนอื่นอาจจะไม่เชื่อมั่นในตัวคุณ รู้จักการรอคอยเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดหวังไว้ รวมถึงอย่าลืมที่จะสร้างบาลานซ์ระหว่างเป้าหมายและการใช้ชีวิต

โปรโม-โมรียา จุฑานุกาล คู่พี่น้องโปรกอล์ฟหญิงชั้นนำระดับโลก กล่าวว่า การจะรักษาความมุ่งมั่นและความพยายามเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายและบรรลุความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้นั้น จำเป็นต้องใช้เวลาและความมุ่งมั่น เพราะการจะเป็นแชมป์นั้นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก เมื่อเกิดความผิดหวังก็ให้มองย้อนกลับไปและคิดว่าในวันนั้นได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด หากยังคงมีเป้าหมายที่แน่วแน่และมีวิถีทางของตนเองแล้ววันหนึ่งก็จะประสบความสำเร็จ นอกจากนี้จงอย่านำความคาดหวังของคนอื่นมากดดันตนเอง ให้โฟกัสที่ความคาดหวังและเป้าหมายของตนเองก่อน และเมื่อทำเป้าหมายของตนเองสำเร็จแล้วความสำเร็จจะกลับไปสู่คนอื่นคาดหวังในตัวคุณเอง

นอกจากนี้ ในเส้นทางนักกอล์ฟอาชีพยังได้เรียนรู้การเป็นพาร์ทเนอร์ซึ่งกันและกัน โดยในรายการ Dow Great Lakes Bay Invitational ระดับ LPGA Tour เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการแข่งขันประเภททีมคู่ และสามารถคว้าแชมป์ในรายการนี้ได้สำเร็จ ซึ่งมาจากการเป็นพาร์ทเนอร์ชิพที่ต้องความเข้าใจและส่งต่อกำลังใจซึ่งกันและกันในระหว่างการแข่งขัน โดยโมและเมและอุปนิสัยในการการเล่นที่แตกต่างกัน คนหนึ่งกล้าเสี่ยง คนหนึ่งจะระมัดระวังกว่า ซึ่งเป็นจุดดีที่ทำให้คอยเตือนซึ่งกันและกัน ใช้บุคลิกและสิ่งที่ถนัดเพื่อวางแผนการเล่นที่เหมาะสมในแต่ละช่วง จนสามารถประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ในรายการดังกล่าวได้

SCGP และกว่า 50 องค์กร ร่วมผนึกกำลังสภาอุตสาหกรรมฯ ขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์ตามหลัก EPR ประกาศโครงการนำร่องจังหวัดชลบุรี

SCGP ร่วมมือกับ 50 องค์กรในโครงการ “PackBack Project เก็บกลับบรรจุภัณฑ์เพื่อวันที่ยั่งยืน” ซึ่งเป็นโครงการที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) ดำเนินการนำร่องในพื้นที่จังหวัดชลบุรี เพื่อจัดการบรรจุภัณฑ์ด้วยหลักการ Extended Producer Responsibility (EPR) ตอบสนองนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือ Circular Economy นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ทดลองใช้เครื่องมือ EPR ในการจัดการกับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วทุกประเภท โดยได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย ส่วนราชการจังหวัดชลบุรี รวมถึงภาคเอกชน ในการขับเคลื่อนด้านนโยบายและด้านนวัตกรรม ที่ช่วยให้กระบวนการจัดเก็บและการรีไซเคิล ตั้งแต่ระบบการจัดเก็บต้นทาง การตั้งจุดรองรับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว รวมถึงการประสานงานร่วมกับศูนย์คัดแยกวัสดุใช้แล้ว (Sorting Hub) เพื่อนำไปรีไซเคิลอย่างถูกต้องและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

BITEC x SCGP ดัน Circular Way เข้าสู่ธุรกิจไมซ์ เน้นแนวทางบริหารเพื่อความยั่งยืน

วันที่ 15 ธันวาคม 2564 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) ร่วมกับบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (SCGP) เปิดโครงการ “We Draw the New World Together” ส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อมตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนำวัสดุเหลือใช้จากการจัดงานมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อผลักดันให้เกิดการบริหารจัดงานอย่างยั่งยืน ตามเป้าหมายในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจไมซ์แห่งภูมิภาคอาเซียน

โครงการ “We Draw the New World Together”  เน้นการใช้กระดาษและพลาสติกให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านการพัฒนาและออกแบบที่สะดวกต่อการใช้งาน แข็งแรง และยังสามารถนำมารีไซเคิลได้แบบครบวงจร (Close-loop Management) เช่น อุปกรณ์ตกแต่งบูธ อุปกรณ์สำหรับใช้ในการประชุม รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในส่วนจัดเลี้ยงด้านอาหารและเครื่องดื่ม

ปนิษฐา บุรี  กรรมการผู้จัดการศูนย์นิทรรศการและการประชุม BITEC กล่าวว่า “ฺBITEC ยึดมั่นในการทำธุรกิจภายใต้แนวทาง BITEC Sustainability เพื่อผลักดันให้ศูนย์ฯ เป็นสถานที่จัดงานไมซ์อย่างยั่งยืนที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การร่วมมือกับ SCGP ในครั้งนี้ไม่เพียงช่วยเสริมศักยภาพการให้บริการของเรา แต่ยังเป็นการต่อยอดการทำงานด้วยการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาปรับใช้เพื่อส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนความคิดและการปฏิบัติภายในองค์กรของไบเทค ผู้จัดงาน ผู้จัดแสดง ตลอดจนผู้ชมงาน ได้ร่วมมือกันใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าอย่างสูงสุดไม่ว่าจะเป็นการ Reuse หรือ Recycle ก็ตาม”

ดนัยเดช เกตุสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน SCGP กล่าวว่า “แนวคิดเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นกลยุทธ์ที่ SCGP ให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าความร่วมมือของทุกภาคส่วนคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง SCGP จึงมีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับไบเทค เพื่อร่วมผลักดันให้เกิดการใช้ทรัพยากรและจัดการวัสดุเหลือใช้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ผ่านนวัตกรรมการออกแบบให้ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย รวมถึงการรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการคัดแยกวัสดุเหลือใช้และนำมาให้ที่ SCGP Recycle Drop Point เพื่อส่งกลับสู่กระบวนการรีไซเคิล สร้างประสบการณ์งานแสดงนิทรรศการในรูปแบบของ Event Sustainable Management โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะมีส่วนช่วยสร้างความเข้าใจ และส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อการดูแลโลกอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน”

แผนงานที่ BITEC และ SCGP จัดทำร่วมกันในปี 2565 ภายใต้โครงการ “We Draw the New World Together” ได้แก่

  1. Recyclable Exhibition: เปิดประสบการณ์นิทรรศการการแสดงนวัตกรรมการออกแบบเพื่อการตกแต่งและจัดแสดงสินค้าจากกระดาษ Paper Art ที่จัดแสดงตามจุดต่าง ๆ ภายในไบเทค ให้ผู้ที่เข้ามาภายในศูนย์ได้รับชม
  2. BITEC Exhibition Supplier: นำเสนอโซลูชันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้แก่ผู้จัดงาน และผู้จัดแสดงสินค้า เช่น การออกแบบ การผลิต การติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่ง และเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากกระดาษเพื่อใช้ในบูธแสดงนิทรรศการ โดยผู้ที่ใช้บริการนี้จะได้รับรายงานแสดงผลการลดคาร์บอน รวมถึงบริการการติดตั้งพร้อมทั้งเก็บกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลของ SCGP และ Upcycling กลับมาเป็นของที่ระลึกหรือจัดแสดงในงานครั้งต่อไป
  3. Packaging Sustainability: ใช้บรรจุภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้หลอดกระดาษแทนหลอดพลาสติก โดยคาดว่าจะสามารถช่วยลดปริมาณการใช้หลอดพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง (Single use) ได้ถึง 125,000 ชิ้นต่อเดือน และจะมีการใช้กล่องกระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับ Snack Box มากถึง 65,000 ชิ้นภายในปี 2565
  4. Recycle Campaign: รณรงค์ให้พนักงานในบริษัท ผู้จัดงาน ผู้จัดแสดงสินค้า และผู้เข้าชมงาน ได้มีส่วนร่วมในโครงการส่งมอบกล่องกระดาษลูกฟูก กระดาษถ่ายเอกสาร รวมทั้งขวดน้ำพลาสติก PET และฝาขวดพลาสติกเหลือใช้ ที่ SCGP Recycle Drop Point เพื่อนำกลับสู่กระบวนการรีไซเคิล ตลอดจนให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้บริโภคเกี่ยวกับการใช้บรรจุภัณฑ์และการจัดการวัสดุเหลือใช้ที่ถูกต้องตั้งแต่ต้นทาง  นอกจากนี้ ยังได้วางแผนจัดงาน BITEC x SCGP Carbon Footprint Performance ซึ่งจะแสดงผลปริมาณรวมของการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากอุตสาหกรรมไมซ์  และการผลิต Upcycling Product ที่ได้จากการทำ Recycle Campaign มาแจกให้กับลูกค้ากลุ่มต่างชาติของไบเทคอีกด้วย

ความร่วมมือระหว่างไบเทค และ SCGP ในโครงการ “We Draw the New World Together” ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) จะสมบูรณ์ได้  ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาสังคม  นอกจากนวัตกรรมและการออกแบบสินค้าให้แข็งแรงคงทนเพื่อใช้งานได้ยาวนานแล้ว  สิ่งสำคัญอีกประการ คือ การบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ ที่จะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เพื่อเป้าหมายทางการบริหารธุรกิจไมซ์สู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง

 

SCGP ปิดดีลเข้าถือหุ้น Deltalab ประเทศสเปน รุกเข้าตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ระดับโลก เริ่มรับรู้รายได้ ธ.ค. 64

SCGP ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ในระดับโลกอย่างเต็มตัว รองรับกลยุทธ์ขยายการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างครบวงจร ปิดดีลใหญ่เข้าถือหุ้นร้อยละ 85 ใน Deltalab, S.L ประเทศสเปน ที่ครอบคลุมตลาดส่งออก 125 ประเทศทั่วโลก โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือนธันวาคมนี้

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า SCGP วางกลยุทธ์มุ่งขยายการให้บริการโซลูชันบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยการขยายธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและการแพทย์ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีจากเทรนด์การดูแลรักษาสุขภาพและการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในหลายประเทศ โดยภาพรวมตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ในยุโรปปี 2562 มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 26,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8.1 แสนล้านบาท) และในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) โดยคาดว่าจะมีอัตราเติบโตร้อยละ 7-9 ต่อปี (ข้อมูลจาก LEK Consulting ปี 2562 – 2567)

ล่าสุด SCGP บรรลุผลสำเร็จเข้าถือหุ้นร้อยละ 85 ใน Deltalab, S.L (Deltalab) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศสเปน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Medical Supplies and Labware) โดยเข้าลงทุนผ่านบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล เฮลธ์แคร์ แพคเกจจิ้ง จำกัด ที่ SCGP ถือหุ้นทั้งหมด ใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 84.9 ล้านยูโร (3,270 ล้านบาท) จะเริ่มรับรู้รายได้ในงบการเงินรวมของบริษัทตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 เป็นต้นไป

Deltalab มีผลิตภัณฑ์ทั้งสิ้นกว่า 15,000 หน่วยสินค้า มีกำลังการผลิตรวม 250 ล้านชิ้นต่อปี และส่งออกสินค้าครอบคลุมตลาดส่งออก 125 ประเทศทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น อาทิ ถ้วยเก็บตัวอย่างของเหลวจากร่างกาย, หลอดสุญญากาศสำหรับถ่ายเทตัวอย่าง (Liquid containers and tubes for vacuum system), หลอดเก็บตัวอย่างเลือด (Traceable blood collection tube set for haematology), หลอดขนาดเล็กสำหรับงานวิเคราะห์พันธุกรรม (Microtubes and flexible plates for real time PCR), หลอดปิเปตต์ขนาดต่าง ๆ สำหรับถ่ายเท ตวง ของเหลว (Various types of pipettes for liquid handling), ชุดตรวจสวอบ (Swab test set)

ทั้งนี้ นับจากวันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 30 กันยายน 2564 Deltalab มีรายได้รวม 84.3 ล้านยูโร (ประมาณ 3,245 ล้านบาท) มีกำไรสุทธิหลังหักภาษีประมาณ 19.3 ล้านยูโร (ประมาณ 740 ล้านบาท) และมีสินทรัพย์อยู่ที่ 44.7 ล้านยูโร (ประมาณ 1,720 ล้านบาท)

“การลงทุนใน Deltalab ครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการขยายฐานลูกค้าในแถบยุโรป ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และภูมิภาคอื่น ๆ ขยายพอร์ตสินค้าของ SCGP ให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น โดยต่อยอดจากความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและนำเสนอบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร เพิ่มขีดความสามารถการให้บริการสู่ระดับโลก รวมถึงผนึกความสามารถทางธุรกิจโดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อร่วมมือกันพัฒนาโซลูชันและขยายตลาดใหม่ ๆ ” นายวิชาญ กล่าว

ในปี 2564 SCGP ได้ดำเนินนโยบายการขยายธุรกิจด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ตามแผนขยายธุรกิจแบบ Organic Growth และการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (Merger and Partnership) โดยสามารถปิดดีลขยายธุรกิจ 4 ดีล ใช้งบลงทุนรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยมีรายได้รวมกว่า 16,000 ล้านบาท (ตามข้อมูล ณ วันที่ปิดดีล) ได้แก่ Go-Pak Group ผู้นำการให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อาหารในสหราชอาณาจักร ยุโรป และอเมริกาเหนือ Duy Tan Group ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปรายใหญ่ในประเทศเวียดนาม Intan Group บรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกในประเทศอินโดนีเซีย และล่าสุด Deltalab Group ซึ่งถือเป็นก้าวที่สำคัญของ SCGP เพื่อรองรับเมกะเทรนด์ของโลกด้านสุขอนามัยและการดูแลสุขภาพ

การประกาศผลรอบตัดสิน โครงการ SCGP Packaging Speak Out 2021

ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลโครงการ SCGP Packaging Speak Out 2021 สำหรับผลการประกาศรางวัลของโครงการฯ มีดังนี้

หมวด Packaging Design

  • รางวัล The Best of Challenge หมวด Packaging Design จะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 80,000 บาท และได้รับโอกาสในการเข้าฝึกงานกับ SCGP ได้แก่ ผลงาน Oh My Man โดย นางสาวชนิตา รัตนภักดี และนางสาวภักติ จตุพร ทีม Ilovehousehusband
  • รางวัล Runner-up หมวด Packaging Design จะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 60,000 บาท ได้แก่ ผลงาน ทุกคนดูดีในแบบของตัวเอง โดยนางสาวชลธี เจวารี ทีม Pineapple
  • รางวัล Popular Vote หมวด Packaging Design จะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท ได้แก่ ผลงาน สอนลูกให้เป็นฮีโร่จากแพคเกจครีมกันแดด โดย นางสาวกมลวรรณ ชัยสกุลสุรินทร์ และ นายกฤศภณ ศุภดิษฐ์ ทีม Marlin

หมวด Packaging Solutions

  • รางวัล The Best of Challenge หมวด Packaging Solutions จะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 80,000 บาท และได้รับโอกาสในการเข้าฝึกงานกับ SCGP ได้แก่ ผลงาน BUGSGUARD ฟิล์มป้องกันมดและแมลง โดย นายภัทรชัย ลายนาคขด และ นางสาวภาวินี พิงไทย ทีม The Victor
  • รางวัล Runner-up หมวด Packaging Solutions จะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 60,000 บาท ได้แก่ ผลงาน PASS STICK! โดยนางสาวจีราพร วิริยะ และนายพีรศิลป์ หุตะแพทย์ ทีม Amoeba
  • รางวัล Popular Vote หมวด Packaging Solutions จะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท ได้แก่ ผลงาน BUGSGUARD ฟิล์มป้องกันมดและแมลง โดย นายภัทรชัย ลายนาคขด และ นางสาวภาวินี พิงไทย ทีม The Victor

สามารถรับชมการนำเสนอในรอบตัดสิน ได้ที่ https://fb.watch/9Bd4qYeWAF/

ติดตามรายละเอียดโครงการ ได้ที่ speakout.scgpackaging.com

Thailand Post x SCGP x GPO ผนึกกำลังในโครงการ “ไปรษณีย์ reBOX” ส่งมอบหน้ากากอนามัยให้ โรงพยาบาล 8 แห่ง ทั่วประเทศ

นายดนัยเดช เกตุสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) และศาสตราจารย์ ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ กรรมการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมปล่อยขบวนรถขนส่งหน้ากากอนามัยในกิจกรรม “จากใจไปรษณีย์ไทย x คนไทย ส่งต่อหน้ากากอนามัยให้โรงพยาบาล” พร้อมด้วยผู้บริหารจากองค์การเภสัชกรรม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และโรงพยาบาลปลายทาง 8 แห่ง เข้าร่วมผ่านระบบ online

 

โดยหน้ากากอนามัยและกล่องบรรจุดังกล่าวมาจากโครงการ “ไปรษณีย์ reBOX” ที่ไปรษณีย์ไทยรวบรวมกล่องและซองพัสดุเหลือใช้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึง ตุลาคม 2564 จำนวนรวมกว่า 22,000 กิโลกรัม ส่งต่อให้ SCGP นำไปรีไซเคิล และองค์การเภสัชกรรมได้ร่วมสมทบหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ รวมกว่า 300,000 ชิ้น บรรจุใน “กล่อง BOX บุญ” เพื่อส่งต่อให้โรงพยาบาล 8 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา โรงพยาบาลนครนายก โรงพยาบาลแม่สอด โรงพยาบาลบ้านตาก โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โรงพยาบาลบุรีรัมย์ โรงพยาบาลยะลา และโรงพยาบาลปัตตานีนำไปใช้ประโยชน์ในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19

 

โครงการ “ไปรษณีย์ reBOX” นี้นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ SCGP ได้ร่วมประสานพลังความร่วมมือกับองค์กรธุรกิจและประชาชน เพื่อสนับสนุนการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และร่วมช่วยเหลือสังคมไปพร้อม ๆ กัน

SCGP กับการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน

โลกกำลังเผชิญปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ขยะล้นโลก ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไข SCGP จึงได้นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ให้เกิดการหมุนเวียนทรัพยากรและพลังงานในระบบอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ ภายใต้บรรษัทภิบาล เราจึงมุ่งมั่นสร้างความเข้าใจ ร่วมจุดประกาย และส่งเสริมความร่วมมือ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในกระบวนการผลิต เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสามารถนำกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ โดยเฉพาะการจัดการวัสดุเหลือใช้ในครัวเรือนซึ่งเป็นดูแลแก้ไขตั้งแต่ต้นทาง และป้องกันการเสียโอกาสในการนำไปรีไซเคิล

 

 

แนวทางดำเนินธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน

  • การใช้ทรัพยากร (Resource use)

การใช้วัตถุดิบที่ได้จากการรีไซเคิลและการใช้ซ้ำ หรือการเลือกใช้ทรัพยากรที่มาจาก Renewable Resources ในการผลิตสินค้า และการใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิต

  •  การออกแบบ (Design)

เพื่อให้มีความทนทาน และมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น สามารถการแยกชิ้นส่วนเพื่อรีไซเคิล หรือใช้ซ้ำ หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทรัพยากรน้อยลงแต่คุณภาพยังคงเดิม

  • การผลิต (Produce)

โดยใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในกระบวนการผลิต ซึ่งส่งผลให้ของเสียจากกระบวนการผลิต การใช้น้ำและพลังงานลดลง

  • การขนส่ง (Distribute)

ส่งเสริมระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และใช้ระบบการเช่าสินค้า และ Sharing Platform เพื่อให้การขายและขนส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลรวบรวมข้อมูลเพื่อให้เกิดการ Optimization ในขั้นตอนการขายและขนส่ง

  • การใช้งานผลิตภัณฑ์ (Product Use)

จากการออกแบบที่ทนทานมากขึ้น และง่ายต่อการแยกชิ้นส่วน พร้อมด้วยการบริการซ่อมบำรุง ทำให้การใช้ผลิตภัณฑ์เกิดประสิทธิภาพยาวนานมากที่สุดตลอดช่วงอายุการใช้งาน

  • การกำจัด (Recycle)

ผลิตภัณฑ์ที่สิ้นอายุจะผ่านกระบวนการจัดการที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการส่งของเสียไปยังหลุมฝังหลบ เกิดการหมุนเวียนวัตถุดิบจากผลิตภัณฑ์ที่สิ้นอายุให้อยู่ในวงจรการผลิตและบริโภคให้นานที่สุด โดยประยุกต์ใช้กระบวนการนำกลับต่างๆ เช่น การใช้ซ้ำ การรีไซเคิล การนำกลับพลังงานจากขยะ