SCGP Newsroom

78

ข่าว

SCGP ส่งต่อความยั่งยืนตามแนวทางเกษตรฟื้นฟู Regenerative Agriculture ชู “ยูคาลิปตัส” พืชเศรษฐกิจ ช่วยฟื้นฟูดิน

Loading Data...

….มีนาคม 2568…ในยุคที่เกษตรกรรมต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม SCGP ได้นำแนวทาง “เกษตรเชิงฟื้นฟู” (Regenerative Agriculture) มาใช้กับการปลูก “ต้นยูคาลิปตัส” พีชเศรษฐกิจของโลกและวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตกระดาษและบรรจุภัณฑ์ โดยมุ่งเน้นการรักษาสมดุลของดิน เพิ่มผลผลิต และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกร

การทำความเข้าใจวัตถุดิบ
จากต้นกล้าสู่โรงงาน

“ยูคาลิปตัสเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่ต้องอาศัยความเข้าใจในสายพันธุ์และระบบนิเวศ”

มหาศาล ธีรวรุฒม์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสยามฟอเรสทรี จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจไม้ครบวงจรใน SCGP เริ่มต้นการพูดคุยถึงยูคาลิปตัสในฐานะที่เป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อเป็นวัตถุดิบต้นทางใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม และความสำคัญของการพัฒนาและคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ เช่น ดินทราย ดินร่วน เพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตและคุณภาพของวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมกระดาษและบรรจุภัณฑ์

SCGP ได้มีการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ไม้ยูคาลิปตัส และสร้างนวัตกรรมจากสายพันธุ์ยูคาลิปตัสอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เวลาเฉลี่ย 8-10 ปี ในการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของไทย พันธุ์ที่ได้รับการพัฒนา เช่น H32 H44 และ H46 หรือสายพันธุ์ใหม่อย่าง H46 และ H50 แต่ละสายพันธุ์มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านความสามารถในการต้านทานโรค ความเร็วในการเติบโต และความเหมาะสมกับสภาพดินเฉพาะพื้นที่ ทั้งดินแล้ง คันนาดินเค็ม ทำให้เกษตรกรสามารถเลือกปลูกพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของตนเอง และได้นำเทคโนโลยี AI และดาวเทียมมาใช้ในการวิเคราะห์แปลงปลูกเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำในการดูแลและพัฒนาแนวทางการจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“เรามีการบริหารจัดการเกษตรกรในระบบนิเวศอย่างครบวงจร ตั้งแต่ส่งเสริมการปลูกยูคาลิปตัส ให้ความรู้เกษตรกรเกี่ยวกับการบริหารดิน การเลือกสายพันธุ์ และเทคนิคการปลูกที่ช่วยให้เกิดการหมุนเวียนธาตุอาหารภายในดิน ทำให้ได้ไม้ยูคาลิปตัสผลผลิตสูง ทนทานต่อโรคและแมลง ช่วยให้เกษตรกรสามารถดูแลได้ง่าย เก็บเกี่ยวและขายได้ตลอดปี ช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากผลผลิตที่สูงขึ้น สามารถฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมให้กลับมามีคุณค่า สร้างงานและรายได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต การปลูกยูคาลิปตัส จึงเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจ สร้างความยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม” มหาศาลกล่าว

ระพี แหวนเพ็ชร เกษตรกรดีเด่นอำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ร่วมงานกับ SCGP มานานกว่า 10 ปี กล่าวว่า

“ได้รับคำแนะนำตั้งแต่การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมไปจนถึงการจัดการดิน ช่วยให้เราปลูกได้ผลผลิตดีขึ้นและลดต้นทุนระยะยาว ในเวลาต่อมาก็ได้ FSC‍‏ ‏TM

บริษัทได้มีการส่งเสริมมาตรฐาน FSCTM (Forest Stewardship Council) ซึ่งเป็นมาตรฐานการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน การได้รับการรับรอง FSCTM ทำให้เกษตรกรมีโอกาสขายไม้ในราคาที่สูงขึ้น และสามารถเข้าถึงตลาดที่ต้องการวัตถุดิบที่มีแหล่งกำเนิดถูกต้องตามหลักสิ่งแวดล้อม อีกทั้งการได้รับรองมาตรฐานนี้ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกร โดย FSCTM ยังมีข้อกำหนดให้เกษตรกรต้องดูแลพื้นที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีอันตราย ลดการตัดไม้แบบทำลายล้าง และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเกษตรเชิงฟื้นฟู

ปรับตัวสู่เกษตรเชิงฟื้นฟู

ในยุคการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อดิน และผลผลิตของเกษตรกร SCGP จึงเน้นการใช้เทคนิคเกษตรเชิงฟื้นฟู เช่น การปลูกพืชคลุมดิน ลดการไถพรวน และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน ระพีเล่าถึงประสบการณ์ตรงว่า

“เมื่อปลูกยูคาลิปตัสในพื้นที่ที่เคยปลูกมันสำปะหลัง พบว่าผลผลิตมันเพิ่มขึ้นในรอบถัดไป เพราะใบและกิ่งยูคาลิปตัสที่ร่วงลงช่วยปรับโครงสร้างของดินให้ดีขึ้น นับเป็นพืชที่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับเจ้าของ ซึ่งสามารถนำสิ่งที่วัดได้จากการปลูกยูคาลิปตัส ไปใช้อ้างอิงเมื่อจะทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของน้ำ หรือสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ พร้อมกันนี้รายได้จากยูคาฯ เราก็นำไปช่วยสังคมไปพร้อม ๆ กัน

รพีได้ขยายความต่อเนื่องถึงการเลือกปลูกยูคาลิปตัสแปลงใหญ่ควบคู่กับการปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง เพราะยูคาลิปตัสเป็นพืชที่ดูแลรักษาง่ายและให้ผลตอบแทนต่อเนื่องในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูดินที่เสื่อมโทรมจากการปลูกพืชไร่ที่ต้องใช้สารเคมีและน้ำในปริมาณมาก นอกจากนี้ ยูคาลิปตัสยังสามารถปลูกได้ดีในพื้นที่ที่ดินไม่ดี ซึ่งเธอเคยประสบปัญหานี้มาก่อน เมื่อมีการปลูกต้นยูคาลิปตัส  สภาพดินดีขึ้นตามลำดับ

ยูคาลิปตัสยังช่วยฟื้นฟูดินให้กลับมาสมบูรณ์ โดยใบและกิ่งที่ร่วงหล่นลงบนพื้นจะสลายตัวเป็นปุ๋ยอินทรีย์ตามธรรมชาติ เพิ่มธาตุอาหารและช่วยปรับสมดุลของดิน นอกจากนี้ ระบบรากที่เล็กแต่หยั่งลึกของยูคาลิปตัสยังช่วยป้องกันการพังทลายของหน้าดินและเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของดินอีกด้วย

วิธีการปลูก การดูแลยูคาลิปตัส

ยูคาลิปตัสเป็นพืชที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมตั้งแต่การปลูกไปจนถึงการเก็บเกี่ยว SCGP ได้พัฒนาแนวทางการปลูกที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิต โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้

1.การเตรียมดิน: แนะนำให้ไถพรวนและปรับหน้าดินให้เรียบก่อนปลูก เพื่อช่วยให้รากสามารถเจริญเติบโตได้ดี

2.การปลูกต้นกล้า: ใช้ระยะปลูก 3×3 เมตร หรือ 3×2 เมตร ขึ้นอยู่กับพื้นที่และความต้องการของเกษตรกร

3.การดูแลรักษา: ในช่วง 3 เดือนแรกต้องดูแลเรื่องวัชพืชและให้ปุ๋ยที่เหมาะสม หลังจากนั้นต้นยูคาลิปตัสสามารถเจริญเติบโตได้เองโดยอาศัยน้ำฝน

4.วัดผลกระทบ: สุขภาพดิน การลดก๊าซเรือนกระจก และการวัดผลผลิตที่เกิดขึ้น

อีกทั้งยังมีการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือในการประเมินผลกระทบของแนวทางเกษตรเชิงฟื้นฟู โดยพบว่า 1 ไร่ของยูคาลิปตัส สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 4.15 ตันต่อปี นอกจากนี้ยังมีการศึกษาและพัฒนาแปลงทดลองเพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดในการปลูกยูคาลิปตัสให้เหมาะกับแต่ละพื้นที่

ส่งเสริมเกษตรกร

สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงกล้าพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของตนเอง พร้อมกับสร้างช่องทางจำหน่ายที่มั่นคง และยังสามารถปลูกยูคาลิปตัสควบคู่กับพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น นาข้าว อ้อยและมันสำปะหลัง เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านรายได้

“ปัจจุบัน เกษตรกรรายใหญ่ปลูกยูคาลิปตัสประมาณ 30% เท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย”  มหาศาลกล่าวถึงข้อดีของการปลูกยูคาลิปตัสเป็นรายได้เสริม ส่วนหนึ่งเป็นพืชที่เข้ากับวิถีของชาวนา โดยเกษตรกรหลายรายได้นำต้นยูคาลิปตัสไปปลูกบริเวณคันนา เพื่อใช้เป็นแหล่งรายได้เสริม ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันการพังทลายของคันนาแล้ว เมื่อครบอายุการเจริญเติบโต 3-4 ปี ยังสามารถตัดขาย สร้างรายได้เพิ่มขึ้นโดยไม่กระทบกับการทำนาหลักอีกด้วย

“ยูคาลิปตัสจึงกลายเป็นพืชทางเลือกที่ช่วยให้ชาวนามีรายได้หมุนเวียนตลอดปี นอกจากนี้ การปลูกยูคาลิปตัสยังช่วยปรับปรุงดินในพื้นที่คันนา โดยใบไม้ที่ร่วงลงสามารถย่อยสลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น” มหาศาลกล่าวในท้ายที่สุด

แนวทางเกษตรฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) ของ SCGP สามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพของดิน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยสร้างโอกาสทางรายได้ให้เกษตรกร สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและเกษตรกร กุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเกษตรกรรมไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

ที่มา: SD Perspectives

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Loading Data...