SCGP Newsroom

บ้านส้มตำ เสิร์ฟความแซ่บด้วยคุณภาพ

จากไอเดียเริ่มต้นสร้างธุรกิจของคุณแม่สุภาพร ชูดวง จึงตัดสินใจเปิดร้าน “บ้านส้มตำ” เพื่อนำเสนออาหารตำรับอีสานที่เลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพมาปรุงอย่างพิถีพิถัน ทำให้บ้านส้มตำ จากไอเดียเริ่มต้นสร้างธุรกิจของคุณแม่สุภาพร ชูดวง จึงตัดสินใจเปิดร้าน “บ้านส้มตำ” เพื่อนำเสนออาหารตำรับอีสานที่เลือกใช้วัตถุดิบ คุณภาพมาปรุงอย่างพิถีพิถัน ทำให้บ้านส้มตำ เติบโตจนเป็นที่ยอมรับและขยายความอร่อยไปสู่หลายพื้นที่ในปัจจุบัน

เป็นระยะเวลากว่า 17 ปีในการดำเนินธุรกิจ วันนี้ คุณพีรณัช ชูดวง กรรมการบริหาร บริษัทบ้านส้มตำ กรุ๊ป จำกัด ได้เข้ามารับช่วงต่อจากคุณแม่สุภาพร และใช้โอกาสนี้เล่าถึงทิศทางการสานต่อธุรกิจในเจเนอเรชันที่ 2 พร้อมเล่าเรื่องราวการทำงานกับพาร์ตเนอร์อย่าง SCGP ที่เข้ามาช่วยตอบโจทย์ด้านคุณภาพของบ้านส้มตำได้ดียิ่งขึ้น

 

ธุรกิจที่เริ่มจากแฟมิลี่ไทม์

“บ้านส้มตำเราเริ่มต้นเหมือนธุรกิจอื่น ๆ ครับ เราโตมาจากร้านตึกแถวเล็ก ๆ ขนาด 2 คูหา ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยากจะลาออกจากงานประจำจึงมานั่งคุยกันว่าจะทำอะไรดี บ้านเรากินอาหารอีสานเป็นประจำอยู่แล้วพวกจิ้มจุ่ม ส้มตำรถเข็นอะไรแบบนี้ เหมือนเป็นแฟมิลี่ไทม์ของบ้านเรา คุณแม่เลยตัดสินใจทำร้านอาหารอีสานแถวพุทธมณฑลสาย 2 ในปี 2548 และเติบโตมาเรื่อย ๆ ขยายปีละสาขา จนวันนี้มีทั้งหมด 11 สาขาครับ”

การเข้ามาบริหารธุรกิจร้านอาหารของคุณพี ถือเป็นบทบาทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่เขาสนใจ เพราะเรียนจบและทำงานในสาขานิเทศศิลป์ ก่อนจะตัดสินใจกลับมาช่วยสานต่อสิ่งที่คุณแม่ได้สร้างเอาไว้

“ผมอยู่กับธุรกิจที่บ้านมาตั้งแต่เรียนมัธยม พอถึงจุดที่ต้องเลือก ผมก็เลือกที่จะกลับมาช่วยที่บ้าน เพราะ Passion มั่นก็ยังอยู่ในชีวิตเราไม่ได้หายไปไหน ทุกวันนี้ผมก็ยังถ่ายรูปฟังเพลงอยู่เหมือนเดิม ผมเริ่มจากสิ่งที่ถนัดก่อนครับ เช่น การออกแบบเมนูของร้านใหม่ การถ่ายภาพรวมถึง Marketing and Sales จากนั้นก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไป จนตอนนี้ดูแลทั้งบริษัท

“ช่วงเริ่มต้นคุณแม่บุกเบิกมาเยอะมาก พอมาถึงช่วงของเราคือ การต่อยอด ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าพื้นฐานมีอะไรบ้าง ในช่วงแรก อาจจะมีปัญหาเรื่องแนวความคิดกันบ้าง แต่ตอนนี้ก็โอเคแล้ว เพราะเรามองเห็นภาพตรงกันว่าอะไรที่เป็นผลดีกับธุรกิจ”

 

พาความแซ่บไปฝากทุกมุมเมือง

การเติบโตของธุรกิจมักมาพร้อมความท้าทาย คุณพีเล่าว่า ความท้าทายเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือเรื่องคุณภาพอาหาร จึงทำให้ไม่ว่าความท้าทายจะมาในรูปแบบไหนก็ผ่านไปได้ บ้านส้มตำจึงเติบโตและเป็นตัวเลือกในใจของคนเมืองมาจนถึงทุกวันนี้

“ความท้าทายมีมาตลอด ตอนเปิดสาขาแรกได้ปีเดียว ถนนหน้าร้านก็เจอการก่อสร้างเลยต้องเปิดสาขาสองเพิ่ม หรือสาขาพระนั่งเกล้าเปิดมาได้ปีเดียวก็โดนน้ำท่วมช่วงปี 2554 ธุรกิจเรามาเข้าที่เข้าทางตอนเปิดสาขาสาทร เริ่มเป็นที่ยอมรับของคนกรุงเทพฯ มีกลุ่มลูกค้าต่างชาติ กลุ่มลูกค้าประจำ ธุรกิจโอเคขึ้น และขยายสาขาเพิ่มต่อเนื่อง

“จุดเด่นของเราคือ เป็นร้านอาหารอีสานที่เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่าย ออกแบบร้านให้มีบรรยากาศที่สบาย ๆ รองรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัว กลุ่มเพื่อน หรือแม้กระทั่งกลุ่มลูกค้าต่างชาติ อีกหนึ่งจุดสำคัญคือ เรื่องคุณภาพ เราทำให้ทุกสาขามีรสชาติที่เหมือนกันได้ ไม่ว่าลูกค้า จะไปทานที่สาขาไหน เพราะเรามีครัวกลางที่รักษามาตรฐานของ ทุกสาขาให้เท่ากัน

“หลังจากโควิค 19 คลี่คลายลง เราวางแผนการขยายสาขาเพื่อรองรับการลงทุนและการท่องเที่ยว ในมุมของการเติบโตทางธุรกิจ เราอยากให้กำไรหมุนกลับไปสู่ผู้ผลิตรายย่อยอย่างกลุ่มเกษตรกร เพราะวัตถุดิบบางอย่างอาจจะหายไปได้ถ้าไม่มีการสนับสนุน เช่น น้ำตาลปี๊บ ซึ่งคุณแม่เล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านต้องขับรถหาน้ำตาลปี๊บอยู่เกือบทั้งวัน จนได้ไปเจอผู้ผลิตรายหนึ่งที่อัมพวา ซึ่งยังผลิตด้วยกรรมธีดั้งเดิม เราก็ใช้น้ำตาลปี๊บของเขามาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเขามาบอกว่าคนขึ้นตาลเริ่มหายากแล้ว ถ้าไม่หานวัตกรรมมาช่วย วัตถุดิบคงจะหมดไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องพัฒนาและหาทางออกร่วมกันต่อ เพราะเราต้องเติบโตไปด้วยกัน เพื่อวัตถุดิบที่มีคุณภาพ”

 

SCGP พร้อมเป็นคู่คิดในการพัฒนา

“บ้านส้มตำร่วมงานกับ SCGP ช่วงที่คุณน้ายังดูเรื่องจัดซื้อของบริษัท พอผมเข้ามาดูแล ก็รู้สึกประทับใจกับ SCGP มากครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใส่ใจดูแลลูกค้ การนำเสนอสินค้า ผมคิดว่าธุรกิจใหญ่ที่ลงมาทำแพคเกจจิ้งแบบ Tailor-made หรือลงมาดูและรับฟังปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแบบ SCGP เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งเรื่องแพคเกจจิ้งสำหรับเรา เป็นเรื่องใหญ่ หลายโรงงานอาจไม่อยากทำ Custom ให้เรา หรือต้องมาใส่ใจดูแลเราเหมือนที่ SCGP ทำ ซึ่งเราประทับใจมาก

“กล่องสำหรับใส่เมนูปลากะพงเป็นเคสที่ผมประทับใจมาก เราจะใช้ปลา ขนาดมาตรฐานคือ ยาวประมาณ 11-12 นิ้ว ซึ่งคุณไม่สามารถหากล่องขนาดที่จะใส่กับปลาไซซ์นี้ได้ตามท้องตลาด เราต้องตัดหางปลาออกเพื่อใส่ลงกล่องให้ได้ ซึ่งสำหรับเราที่เน้นเรื่องคุณภาพและความสวยงามมันดูไม่น่าทาน

“จนกระทั่งเรามีโอกาสทำงานร่วมกับ SCGP พัฒนาร่วมกันจนได้กล่องใส่ปลาที่มีขนาดพอดี นอกจากได้ขนาดกล่องแล้ว เราพัฒนาให้มีตัวล็อกและความแข็งแรงเพิ่ม เพื่อไม่ให้ปลาเสียหายและสะดวกต่อการจัดส่งดิลิเวอรี เพราะกล่องปลามีขนาดใหญ่ เวลาจัดส่งให้ลูกค้า กล่องปลามักจะถูกวางเป็นฐาน SCGP ก็รับโจทย์เราไปคิดว่า ควรใช้กระดาษหนาเท่าไร เคลือบด้วยอะไร จนออกมาเป็นกล่องที่ตอบโจทย์การใช้งานในทุกวันนี้ เป็นตัวอย่างที่ประทับใจมาก เพราะในช่วงโควิด 19 ร้านอาหารทุกร้านต้องปรับตัวกับการดิลิเวอรีอย่างมาก จากยอดขาย10 – 20% เพิ่มสูงขึ้นเป็น 50 – 60% ผมคิดว่าการพัฒนาสินค้าร่วมกันระหว่างบ้านส้มตำกับ SCGP น่าจะมีอีกหลายทางมาก เพราะ SCGP มีความเข้าใจลูกค้า ช่วยหาทางลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ และเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เราใส่ใจ ทั้งสองประเด็นนี้จะทำให้การใช้แพคเกจจิ้งของเรายั่งยืนในอนาคต ทั้งด้านธุรกิจและด้านสิ่งแวดล้อมด้วยครับ”

 

Leave a comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *