SCGP Newsroom

สุนทร ยงค์วิบูลศิริ : ทุกการเปลี่ยนแปลงคือโอกาสในการเรียนรู้

ความยั่งยืนคือ เป้าหมายและแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่ SCGP ให้ความสำคัญมาโดยตลอด พี่บี้ – สุนทร ยงค์วิบูลศิริ ESG and Sustainability Director, SCGP ได้เข้ามารับหน้าที่บริหารงานในเรื่องดังกล่าวตั้งแต่ปี 2563 ทำให้ตัวเขาต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับความท้าทายของการทำงานเพื่อบรรลุภารกิจสำคัญขององค์กร วิธีการจัดการกับความเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าประสบการณ์ต่างๆ จะสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อน ๆ SCGP ได้อย่างแน่นอน

 

ปรับตัว เรียนรู้ใหม่ มองให้เป็นเรื่องสนุก

“พี่จบวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเคมี เริ่มต้นงานในตำแหน่งวิศวกรฝ่ายผลิตที่บริษัทเยื่อกระดาษสยาม จำกัด (มหาชน) โรงงานบ้านโป่ง ในปี 2533 พอทำงานได้ระยะหนึ่ง ก็ย้ายไปเป็นวิศวกรโครงการใหม่ที่โรงงานวังศาลา ต่อมาได้รับมอบหมายให้ดูแลส่วนผลิตในโรงเยื่อของบริษัทสยามเซลลูโลส จำกัด ในตำแหน่งผู้จัดการส่วนผลิต หลังจากนั้นย้ายไปทำด้านวิศวกรรม โครงการของบริษัทผลิตภัณฑ์กระดาษไทย จำกัด ตามด้วยส่วนผลิตที่บริษัทฟินิคซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับเยื่อกระดาษที่จังหวัด ขอนแก่นจนถึงปี 2550 ก่อนจะย้ายกลับมาเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิต ดูแลโรงเยื่อ 2 แห่ง ทั้งที่โรงงานบ้านโป่งและวังศาลา กระทั่งปี 2563 ได้รับโอกาสมาดูแลเรื่อง ESG และ Sustainability ของ SCGP

“การเปลี่ยนจากสายงานผลิตในโรงงาน มาทำในฝั่ง corporate ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของพี่เลย เพราะต้องดูเรื่องการกำกับดูแล การวางนโยบายและกลยุทธ์ โดยรับแนวทางจากพี่ ๆ ฝ่ายจัดการและคณะกรรมการ ESG เพื่อมากำหนดกรอบการทำงานให้หน่วยงานต่าง ๆ ช่วยกันขับเคลื่อนแล้วติดตามรวบรวม Performance ในภาพรวมเพื่อรายงานตามกรอบมาตรฐานและเปิดเผยต่อสาธารณะ ถือว่าเป็นการทำงานในภาพรวมขององค์กรมากขึ้น มีเรื่องที่ต้องเรียนรู้มากขึ้น ทั้งเรื่องกฎหมาย ภาครัฐ การจัดการ การมีส่วนร่วมและการบริหารผู้มีส่วนได้เสีย

“เรื่อง ESG และ Sustainability มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์กรภายนอกต้องปรับตัวค่อนข้างมาก เพราะเราไม่เคยทำมาก่อน แต่ประสบการณ์จากโรงงานและวิศวกรรมถือว่าเป็นประโยชน์ในการเชื่อมโยงแนวคิดต่าง ๆพี่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงการทำงานถือเป็นการปรับตัวเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ให้เราออกนอก Comfort Zone อาจจะลำบากในช่วงแรกบ้าง แต่เมื่อปรับตัวได้ก็รู้สึกสนุกกับงานที่ได้ทำ”

 

ESG ดีต่อโลก ดีต่อคน

ESG ถือเป็นประเด็นสำคัญในระดับสากล ซึ่ง SCGP ให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด ทั้งในส่วนการใช้ทรัพยากรวัตถุดิบหลักอย่างไม้ยูคาลิปตัสที่มีการปลูกขึ้นมาทดแทนอย่างต่อเนื่อง หรือการใช้วัสดุรีไซเคิลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมถึง 97% ในการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการหมุนเวียนบรรจุภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่อย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น

“เนื่องจากในกระบวนการผลิตยังมีการใช้ทรัพยากรที่เราต้องบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เราจึงหาทางลดการใช้ทรัพยากรลง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเพลิง หรือพลังงาน การใช้น้ำ และการลดของเสีย การนำนโยบายเรื่องความยั่งยืนหรือ ESG ไปสู่การปฏิบัติของแต่ละหน่วยงาน ต้องมีการวางเป้าหมายและตัววัดที่ชัดเจน เช่น หากจะลดก๊ซเรือนกระจก ต้องดูว่าตัววัดคืออะไร เราปล่อยก๊าซเท่าไร จะลดลงเท่าไรและเมื่อไร จากนั้นดูผลว่าเป็นอย่างไรเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ และควรจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร

“การกำหนดสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การกำหนดแบบบนลงล่างอย่างเดียว เราต้องเชื่อมโยงกับผู้ปฏิบัติจริงว่ามีความเป็นไปได้ขนาดไหน ความท้าทายในเรื่องนี้คือการสื่อสารว่าสิ่งที่ทุก ๆ โรงงานทำนั้นส่งผลต่อองค์กร สังคม และโลกของเรา ซึ่งที่ผ่านมาพี่ ๆ ระดับจัดการ ช่วยกันสื่อสารในทุกเวทีที่มีโอกาส ทำให้ทุกคนเห็นทิศทางที่องค์กรให้ความสำคัญ เราได้รับการประเมินเรื่อง ESG Rating ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะ S&P Global Corporate Sustainability Assessment ระดับ Silver ตั้งแต่ปีแรกที่เข้าร่วม เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ และชัดเจนว่านี่คือผลงานของพวกเราทุกคน

“นอกจากนี้ สิ่งที่พวกเราทำยังส่งผลถึงผลประกอบการ เพราะเรื่อง ESG ทำให้เกิดความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ตอบโจทย์เรื่องการเติบโตอย่างมีคุณภาพและเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น เช่น ธุรกิจ Recycling เมื่อมีการหมุนเวียนวัสดุกลับมาใช้ใหม่ จะช่วยต่อยอดทางธุรกิจของ SCGP ให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นการให้ความสำคัญกับ ESG ก่อให้เกิดผลดีต่อคนธุรกิจ สังคม และโลกไปพร้อมกัน”

 

เปิดใจ เรียนรู้ สร้างโอกาส

“พี่เชื่อว่า การทำงานที่ดีไม่ใช่การทำงานเยอะ ๆ แต่เป็นการทำงานให้มีประสิทธิผล ผสมผสานการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างลงตัว อีกเรื่องคือในช่วงที่เปลี่ยนมาดูแลงานระดับจัดการ พี่เรียนรู้ว่าการบริหารทีมไม่ใช่เรื่องง่าย จากที่เราเรียนมา ในสายวิศวะฯ มีโซลูชันในการทำงานชัดเจนหากเกิดปัญหาเรารู้วิธีแก้ไขที่ถูกต้อง ก็จะใช้วิธีนั้นได้ตลอด แต่การบริหารทีมหรือบริหารคนไม่มีคำตอบที่ชัดเจนแบบนั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมตามสถานการณ์

“ในแง่ของการบริหาร พี่จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน อย่างแรกคือการบริหารตัวเอง เปิดใจ รับฟังคนอื่นอยู่เสมอ และมักจะมองหาแรงบันดาลใจให้ตัวเองเมื่อเจออุปสรรค พี่จะคิดว่า ถ้าเราพยายาม อดทนทำงานจนสำเร็จ จะได้ความภาคภูมิใจเป็นรางวัล ขณะเดียวกัน เมื่องานเสร็จ เราจะได้มีโอกาสไปทำเรื่องส่วนตัวที่สนใจ สามารถผสมผสานการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างลงตัว

“ส่วนเรื่องบริหารทีม พี่จะเน้นการทำงานเป็นทีม ทำให้ทุกคนในทีมมองเป้าหมายใหญ่ขององค์กรร่วมกันมากกว่าภาพของตัวเอง ทุกคนต้องเข้าใจว่าเราเป็นหน่วยงานหนึ่งขององค์กร และไม่ควรขีดกรอบตัวเอง บางครั้งเราอาจต้องทำงานมากกว่าที่ได้รับมอบหมาย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

“สำหรับน้อง ๆ พี่อยากให้เน้นเรื่องการเรียนรู้เป็นสำคัญ ยิ่งเราทำงานมากยิ่งต้องเรียนรู้ให้มากขึ้น รวมถึงหาเวลาว่างในการอ่านหนังสือ ข่าวสาร หรือบทความ เพื่อเพิ่มข้อมูลความรู้ หาโอกาสต่าง ๆ ต่อไปได้

“สุดท้าย อย่ากังวลเวลาเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำงานที่รับผิดชอบให้ดีที่สุดที่สำคัญไม่ว่าจะทำอะไร ให้มองเรื่องแนวคิดและหลักการที่ถูกต้อง ถ้าสองอย่างนี้ถูกต้อง ตรรกะต่าง ๆ จะตามมาเอง และเราจะรู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป” พี่บี้ฝากข้อคิดดี ๆ ทิ้งท้าย

Leave a comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *