P-DNA ฉบับนี้เราได้มีโอกาสชวนพี่โอม – ดนัยเดช เกตุสุวรรณ Chief Financial Officer (CFO) คนล่าสุด มาร่วมพูดคุยถึงแนวคิดการทำงานและการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง รวมถึงแชร์ประสบการณ์การทำงานตลอดหลายปี ทั้งในและต่างประเทศที่เชื่อว่าน่าจะจุดประกายไอเดียให้ใครหลายคนได้อย่างแน่นอน
เส้นทางการทำงานมีความเปลี่ยนแปลงเสมอ
พี่โอมเริ่มบทสนทนาด้วยการเล่าถึงเส้นทางการทำงานใน SCG ที่สำนักงานวางแผนกลางเป็นเวลา 3 ปี ดูแลงานด้านโครงการ การควบรวมกิจการ และวิเคราะห์โครงการของทุก ๆ BU ใน SCG ก่อนจะย้ายมาที่ SCGP ในตำแหน่ง Vice President-Finance ของบริษัท United Pulp and Paper Co., Inc. (UPPC) ประเทศฟิลิปนส์ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นี่นานถึง 3 ปี
“พี่ไปดูเรื่อง Finance and Procurement ที่ฟิลิปปินส์ แล้วก็ย้ายกลับมาไทย ในตำแหน่ง Business Manager ของแบรนด์กระดาษ Idea ช่วงนั้น กำลังเปิดตัว Idea Work พอดี ทำอยู่ประมาณ 2 ปี ก็กลับไปที่สำนักงานวางแผนกลาง SCG อีก 2 ปีจึงกลับมาที่ SCGP ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานวางแผนธุรกิจ (ในปัจจุบันคือ Business Planning Office) อีก 5 ปี ดูแลงานด้านวิเคราะห์โครงการ การควบรวมกิจการ การวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ พอปี 2561 ได้มีโอกาสกลับไปที่ฟิลิปปีนส์อีกครั้งในตำแหน่ง President and CEO จนถึงกลางปี 2564 ก็กลับมาเป็น CFO ของ SCGP”
นำ Way of Life มาเป็น Way of Work
แน่นอนว่าการทำงานในต่างถิ่น ต่างวัฒนธรรม นอกจากเรื่องภาษาที่เป็นความแตกต่างพื้นฐานแล้ว การเรียนรู้และปรับตัวคือหัวใจสำคัญ พี่โอมแชร์ให้ฟังว่า ชีวิตในต่างแดนตลอดหลายปีนั้นดำเนินไปอย่างกลมกลืน ด้วยการไม่นำกรอบความคิดแบบไทยไปใช้กับที่อื่น
“เมื่อเราไปทำหน้าที่เป็นผู้ไกด์ทีม Tone at the top สำคัญมาก เขาจะมองเราในฐานะผู้กำหนดพฤติกรรม นโยบาย หรือทิศทางองค์กร เขาจะมาหาเราเป็นหลัก ทำให้เราสามารถกำหนดทิศทางต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง และใช้โอกาสนี้สร้างทีม สร้าง Collaboration ด้วยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
“เรื่องวัฒนธรรมหรือ Culture เราต้องดูว่าวัฒนธรรมของเขาเป็นแบบไหนและมีจุดไหนที่เชื่อมกันได้ ยกตัวอย่างเช่น คนฟิลิปปินส์จะมีความจริงใจและตรงไปตรงมาอย่างชัดเจน เราต้องพยายามสร้างให้เป็นวัฒนธรรม คือการปรับเอา Way of Life มาเป็น Way of Work เพื่อช่วยสร้างความกลมกลืน วัฒนธรรมที่สำคัญอีกอย่างคือ การให้ความสำคัญกับครอบครัว เป็น Family Fist เช่น การรับรองลูกค้า ลูกค้าจะมากันทั้งครอบครัวเพราะฉะนั้น เมื่อเราทำธุรกิจที่นั่น เราควรให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมของเขา เช่น การจัด Family’s Day ให้พนักงานพาครอบครัวมาที่โรงงานเพื่อร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เขาจะบอกกับลูกด้วยความภาคภูมิใจว่า นี่คือที่ทำงานของพ่อ นี่คือที่ทำงานของแม่นะ สร้างให้เกิดความผูกพันต่อองค์กรและความภาคภูมิใจกับบริษัทด้วย
“การทำงานกับคนต่างชาติ การเรียนรู้วัฒนธรรมและสร้างความกลมกลืนเอา Way of Life มาเป็น Way of Work และพยายามสร้างทีมผ่านการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพ จะช่วยทำให้งานราบรื่นขึ้น และที่สำคัญอย่ายึดติดกับกรอบความคิดและการทำงานแบบเดิม ๆ เพราะมันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป ในเรื่องความรู้ทางเทคนิคหรือระบบงานเราอาจนำจากไทยไปปรับใช้ได้ เพราะมันเป็นสากล แต่ในด้านการบริหารคน บริหารองค์กรเราต้องมองว่าวิธีการใดที่จะสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน ให้คนในแต่ละพื้นที่ แต่ละวัฒนธรรมได้ดีที่สุด”
หลักคิด 3 ข้อ ต่อยอดการทำงาน
ตลอดการทำงานที่ฟิลิปนส์ พี่โอมมักลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่ว่างานไหนเมื่อเกิดปัญหา จะวิเคราะห์และช่วยตัดสินใจ ซึ่งทำให้สั่งสมประสบการณ์จนแข็งแกร่งขึ้น
“การทำงานในต่างประเทศมีหลายเรื่องที่เราต้องวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ต้องพึ่งตนเองมาก ต่างจากเมืองไทยที่เรามีคนคอยให้คำปรึกษาตลอดเวลา พี่มองว่าเรื่องนี้ทำให้พี่พัฒนาตัวเองค่อนข้างมาก ในส่วนองค์กรก็ได้ประโยชน์ด้วย เพราะการส่งคนไปประจำที่ต่างประเทศทำให้พนักงานได้มองเห็นสิ่งที่ไม่เห็นจากที่นี่ และนำเอาแนวทางบางอย่างมาปรับใช้ได้
“แต่ไม่ว่าที่ไหน พี่จะมีหลักในการทำงานอยู่ 3 ข้อที่ใช้มาตลอด
1. One Step Above เวลาทำงานพี่จะพยายามคิดและมองภาพให้ใหญ่กว่าหรือสูงกว่าตัวเราไปหนึ่งขั้นเสมอ สมมุติว่ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบพี่จะลองคิดว่า ถ้าเราเป็นผู้บังคับบัญชา เรามีแนวคิดกับเรื่องนี้อย่างไร และจะตัดสินใจทำอย่างไร พี่คิดว่าข้อนี้จะช่วยสร้างคุณค่าเพิ่มให้ตัวเราไม่จำกัดตัวเองแค่ในหน้างานที่ทำเพียงอย่างเดียว หากมองภาพรวมได้มากขึ้น ก็จะสามารถพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นด้วย
2. Treat with Respect ให้เกียรติทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นน้องเป็นเด็กเข้าใหม่ เป็นพี่ หรือเป็นใครก็ตาม เราต้องให้เกียรติในความเป็นมนุษย์ ดังนั้นไม่ว่าชมหรือติ ต้องทำโดยไม่บั่นทอนจิตใจกัน ประสบการณ์ส่วนตัวของพี่โชคดีที่ได้ทำงานกับผู้บังคับบัญชาดี ๆ มาตลอด ทำให้เรารู้สึกอยากทำงานเพื่อองค์กรมากยิ่งขึ้น
3. จุดไหนที่ควรผลัก จุดไหนที่ควรผ่อน โดยเฉพาะตอนเป็นผู้บริหาร พี่จะดูว่าจุดใดที่ควรผลัก คือเข้าไปเสริมทีม เป็นกำลัง เป็นไกด์ให้ที่มบรรลุเป้าหมาย จุดใดควรผ่อน คือปล่อยให้ทีมทำ เพื่อให้เขาได้แกร่งขึ้น มั่นใจขึ้น เรื่องนี้สำคัญมาก ยิ่งถ้าเราเป็นผู้บริหารระดับสูง หากเราไปผลักในจุดที่ควรผ่อน หรือผ่อนในจุดที่ควรผลัก ปัญหาจะตามมาแน่นอน หากทีมทำได้ดีอยู่แล้ว เราไม่ควรไปกดดัน หรือจุดที่ควรเข้าไปเสริม แต่เรากลับไม่ทำอะไรเลยทีมก็จะลำบาก นี่คือสิ่งสำคัญในการบริหารงานครับ”
รู้จักตัวเองและเดินหน้าเต็มกำลัง
แนวทางในการพัฒนาตัวเองที่พี่โอมยึดถือมาโดยตลอด นั่นคือ การมองให้เห็นความถนัดของตัวเอง และเรียนรู้ศักยภาพของคนรอบข้าง
“การมองข้างในตัวเรา เพื่อให้รู้ว่าเราเก่งอะไร ทำอะไรได้ดี เพื่อนำไปต่อยอดและพัฒนาได้ง่ายที่สุด เพราะการฝืนทำเรื่องที่ไม่ถนัดอาจทำให้เราไปไหนได้ไม่ไกล ส่วนการมองออกไปข้างนอกคือ เรียนรู้จากคนอื่นว่าเขาทำอะไรทำไมเราถึงชอบหรือชื่นชมสิ่งที่คนนี้ทำ หรือทำไมเราถึงไม่ชอบ หรือดูคนในวงการธุรกิจต่าง ๆ ว่าเขาทำอย่างไรถึงเติบโตไปได้ไกลขนาดนี้ และลองเอาสองส่วนนี้มาประกอบกัน จะช่วยให้เห็นว่าเราควรพัฒนาต่อยอดตนเองไปในทิศทางไหน หรือขยายศักยภาพจากสิ่งที่เราเป็นได้อย่างไร
“ในมุมขององค์กร พี่คิดว่าตอนนี้ SCGP อยู่ในจุดที่ดี แข็งแกร่งในทุกด้านมีโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจที่จะขยายและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในแถบอาเซียนเราได้พิสูจน์ตัวเองและรักษาความเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ ส่วนภูมิภาคอื่น ๆ ก็เป็นโอกาสที่จะต่อยอดได้อีก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด ดังนั้นในฐานะที่พวกเราเป็นคนขับเคลื่อนองค์กร ควรหาประสบการณ์หรือการเรียนรู้ใหม่ ๆ เสมอ ทั้งจากการทำงานกับคนภายนอก ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ มองหาเวทีที่จะสามารถศึกษาการบริหารจัดการรูปแบบใหม่ ๆ หรือการแลกเปลี่ยนความรู้กับบริษัทข้ามชาติ หรือหากมีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศ ลองแวะไปดูบริษัทใหญ่ ๆ เช่น Toyota Museumหรือ Google Office เพื่อดูว่า Global Company เขาทำงานกันอย่างไร นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง
“SCGP พร้อมที่จะสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้ทุกคนมีแรงบันดาลใจ สนุกและมีความสุขในการทำงาน พี่คิดว่าถ้าเรามีแรงบันดาลใจและสนุกกับงาน มันจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีและเป็นประโยชน์ทั้งกับตัวเรา
และองค์กร แม้จะเจอความเครียดบ้าง เราก็ต้องหามุมที่ทำให้เราสนุกได้ในทุก ๆ วันนะครับ” พี่โอมกล่าวทิ้งท้าย