SCGP Newsroom

SCGP แถลงผลประกอบการปี 2567 รายได้โตร้อยละ 3 ประกาศจ่ายปันผล 0.55 บาท/หุ้น มุ่งขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กลุ่มสินค้าที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค

ข่าว

SCGP แถลงผลประกอบการปี 2567 รายได้โตร้อยละ 3 ประกาศจ่ายปันผล 0.55 บาท/หุ้น มุ่งขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กลุ่มสินค้าที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค

Loading Data...
SCGP แถลงผลการดำเนินงานปี 2567 ทำรายได้ 132,784 ล้านบาท กำไร 3,699 ล้านบาท พร้อมจ่ายเงินปันผล 0.55 บาทต่อหุ้น คิดเป็นร้อยละ 63.8 ของกำไร เผยปีที่ผ่านมาได้รับมือสถานการณ์ที่ท้าทาย ด้วยการสร้างความแข็งแกร่งในกลุ่มสินค้าที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค อาทิ บรรจุภัณฑ์อาหารเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ และทุ่มเทเพิ่มปริมาณการขายตลาดภายในประเทศไทย-อินโดนีเซีย-เวียดนาม-ฟิลิปปินส์ ส่งผลให้รักษาความเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน มั่นใจปี 2568 ธุรกิจเติบโตรับตลาดบรรจุภัณฑ์ฟื้นตัว ตั้งเป้า EBITDA 18,000 ล้านบาท เดินหน้า 4 กลยุทธ์ 1.รุกตลาดในอาเซียนและสินค้าปลายน้ำต่อเนื่อง 2.เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วย Data Analytic และ Artificial Intelligence (AI) เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและลดต้นทุน 600 ล้านบาท 3.พัฒนานวัตกรรม โซลูชัน และผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำตอบโจทย์ลูกค้า และ 4.เดินหน้า ESG เพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกเป็นร้อยละ 39

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในปี 2567 ความต้องการของตลาดในอาเซียนปรับตัวดีขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลัง มีปัจจัยค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่น ๆ ในอาเซียน และเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ ส่งผลต่อปริมาณการส่งออกและราคาของกระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง ส่วนในไตรมาส 4 ปี 2567 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตลาดภายในประเทศในอาเซียนมีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์จากประเทศจีนเริ่มฟื้นตัว และมีแนวโน้มนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม จากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นหลังจากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ปีที่ผ่านมา SCGP ได้รับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ โดยปรับกลยุทธ์การตลาดมุ่งเน้นการขายภายในประเทศในอาเซียนรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น สามารถเพิ่มปริมาณการขาย ทั้งกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ และบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ ส่งผลให้ยังรักษาความเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน อีกทั้งได้มีการปรับพอร์ตเพิ่มการลงทุนในกลุ่มสินค้าที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค เช่น อาหารเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพเติบโต อย่าง Healthcare Supplies การเพิ่มการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ในเอเชียใต้ เช่น อินเดีย บังกลาเทศ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต ส่วนการบริหารวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) SCGP ได้สร้างเครือข่ายพันธมิตรภายในประเทศเพื่อจัดหาและใช้วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลในประเทศที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งกำลังดำเนินการปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงินในอินโดนีเซียด้วย

ทำให้ปี 2567 SCGP มีรายได้จากการขาย 132,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปีก่อน EBITDA 16,127 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสำหรับปี 3,699 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2567 มีรายได้จากการขาย 31,231 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 2,845 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขาดทุนสำหรับงวด 57 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 105 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาของวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่สูงขึ้นและราคาขายของสินค้าที่อ่อนตัวลง รวมถึงการรวมผลการดำเนินงานจากอินโดนีเซียและผลประกอบการของธุรกิจรีไซเคิลที่ลดลง

จากผลการดำเนินงานของปี 2567 คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท โดยบริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลงวดระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เมื่อวันที่ 21สิงหาคม พ.ศ. 2567 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2568 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2568 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568

นายวิชาญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไตรมาส 1 ปี 2568 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากการบริโภคภายในประเทศกลุ่มอาเซียนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย และความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ของจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปคาดว่าจะเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามสถานการณ์ด้านมาตรการภาษีการค้าสำหรับสินค้านำเข้า (Tax Tariff) ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยราคาพลังงานและต้นทุนโลจิสติกส์คาดการณ์ว่ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ปี 2568 SCGP ได้วางแผนงบลงทุนรวม 13,000 ล้านบาท และตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA เป็น 18,000 ล้านบาท โดยดำเนินงานผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก เพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ได้แก่ (1) เพิ่มความสามารถในการทำกำไรในกลุ่มประเทศอาเซียน โฟกัสการขายที่ตลาดภายในประเทศไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และสร้างการเติบโตในสินค้าเชื่อมโยงกับผู้บริโภค รวมถึงการเพิ่มโอกาสเข้าตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูงอย่าง Healthcare Supplies (2) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การปรับปรุงต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานผ่านเทคโนโลยี Data Analytic และ Artificial Intelligence (AI) ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและลดต้นทุนในปี 2568 ได้ประมาณ 600 ล้านบาท (3) พัฒนานวัตกรรมและโซลูชันเพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ลูกค้า รวมถึงการพัฒนากระบวนการ และบริการ ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าและสร้างความแตกต่างเพื่อเพิ่มมูลค่าและความสามารถทำกำไร โดยตั้งงบประมาณและค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 1 โดยประมาณของรายได้ในแต่ละปี ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้ารายได้จากกลุ่มสินค้านวัตกรรมและโซลูชัน คิดเป็นร้อยละ 37 ของรายได้รวม และ (4) มุ่งดำเนินงานตามกรอบ ESG และหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้การรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยวางเป้าหมายเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกเป็นร้อยละ 39 ในปี 2568

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Loading Data...

บริษัทไทยเคนเปเปอร์ จำกัด (มหาชน) โรงงานกาญจนบุรี รับรางวัล “The Prime Minister Industry Award 2024” ประจำปี 2567

ข่าว

บริษัทไทยเคนเปเปอร์ จำกัด (มหาชน) โรงงานกาญจนบุรี รับรางวัล “The Prime Minister Industry Award 2024” ประจำปี 2567

Loading Data...
บริษัทไทยเคนเปเปอร์ จำกัด (มหาชน) โรงงานกาญจนบุรี โดย นายอภิชิต เปล่งรัศมี ผู้จัดการโรงงาน รับรางวัล “The Prime Minister Industry Award 2024” รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ด้านการเพิ่มผลผลิต ประจำปี 2567 จากกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีความคิดริเริ่ม และมีความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศให้ก้าวหน้า ตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะดวก สะอาด โปร่งใส” โดยพิธีมอบรางวัลจัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Loading Data...

ปรับมุมมอง – ต่อยอดไอเดีย บ่มเพาะแนวคิดสู่ความยั่งยืน

ข่าว

ปรับมุมมอง – ต่อยอดไอเดีย บ่มเพาะแนวคิดสู่ความยั่งยืน

ปรับมุมมอง – ต่อยอดไอเดีย บ่มเพาะแนวคิดสู่ความยั่งยืน
Loading Data...
SCGP มุ่งเน้นการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจตามกรอบแนวคิด ESG บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง วันนี้เราจึงอยากชวนคุณมารู้จักกับเพื่อนพนักงานที่อยู่เบื้องหลังการผลักดัน เพื่อสร้างความร่วมมือในองค์กร ให้เกิดเป็นรูปธรรม มาร่วมแชร์แนวคิด Passion และประสบการณ์การทำงานไปด้วยกัน

“หน่วยงาน ESG มีหน้าที่ช่วยกำกับดูแลการดำเนินงานของบริษัท ในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ปัจจุบันส่วนงานที่ขวัญรับผิดชอบคือ การกำหนดกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจและมาตรฐานด้านความยั่งยืนในระดับสากล โดยเฉพาะมิติด้านสังคมของพนักงานและคู่ธุรกิจ เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชน บริษัทได้กำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อกำกับดูแล ไม่เอารัดเอาเปรียบพนักงาน คู่ธุรกิจ และผู้มีส่วนได้เสียอื่น ๆ มีการกำหนดให้พนักงานและคู่ธุรกิจทำงานในสถานที่ปลอดภัย มีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เหมาะสม พัฒนาความรู้และทักษะของพนักงาน รวมถึงด้านสวัสดิการที่มีการทบทวนอย่างต่อเนื่อง

“งานส่วนใหญ่เป็นการติดต่อประสานงาน พูดคุย รับฟังความคิดเห็น และอัปเดตข้อมูลกับ หน่วยงานต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และให้รับทราบสถานะปัจจุบันว่า ยังมีประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืนใดบ้างที่เราควรโฟกัสเพิ่มขึ้น นำไปสู่การปรับปรุงนโยบายหรือมาตรการที่เป็นรูปธรรม แม้จะต้องใช้เวลา แต่เชื่อว่าผลลัพธ์จะออกมาดีเสมอ

“การดำเนินงานด้านความยั่งยืนนั้น ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยหน่วยงาน ESG เพียงหน่วยงานเดียว หากเราสามารถช่วยให้ทุกคนมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของ ESG ได้มากขึ้น ก็จะทำให้ SCGP สามารถขับเคลื่อนการสร้างความยั่งยืนทั่วทั้งองค์กร และสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจต่อไป”

ณัฎฐิดา บินสมประสงค์
Assistant Manager – ESG

ปรับมุมมอง – ต่อยอดไอเดีย บ่มเพาะแนวคิดสู่ความยั่งยืน
ปรับมุมมอง – ต่อยอดไอเดีย บ่มเพาะแนวคิดสู่ความยั่งยืน

“หน้าที่ของผมคือ การกำหนดกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่อง Climate Change ที่เป็นประเด็นสำคัญในปัจจุบัน การทำงานเริ่มตั้งแต่สำรวจ รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล Best Practices และ Benchmarking กับบริษัทอื่น ๆ ในธุรกิจเดียวกัน เพื่อนำมากำหนดกลยุทธ์และจัดทำเป็นแผนงานของบริษัท และอีกส่วนหนึ่งคือการสนับสนุนข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ให้หน่วยงานต่าง ๆ เช่น ทีมวางแผน ทีมตลาดและส่งเสริมการขาย เป็นต้น

“ด้วยงานที่ทำจำเป็นต้องขอข้อมูลและความร่วมมือจากหลายฝ่าย เราจึงต้องมี Mindset ที่ดี เป็นมิตรกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งจะช่วยทำให้บรรยากาศในการทำงานดีขึ้น และยังทำให้การทำงานของเราง่ายขึ้นด้วย

“มีบางครั้งที่เจอปัญหา อาจทำให้หมด Passion ไปบ้าง ผมจะเติม Passion ด้วยการออกไป
เล่นกีฬาหรือท่องเที่ยว แล้วค่อยกลับมารวบรวมความคิด พยายามหาทางออกดูว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น
มีแนวทางแก้ไขอย่างไร หรือวิเคราะห์ดูว่าอะไรที่เป็นจุดกึ่งกลางที่ทำแล้วได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

“บางครั้งการที่ได้มีโอกาสประสานงานกับหลาย ๆ หน่วยงานและได้รับคำแนะนำดี ๆ กลับมา ก็สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดไอเดีย และนำไปสู่การพัฒนาบริษัทอย่างยั่งยืนครับ”

ณัฐวัชร์ เชิญถนอมวงศ์
Assistant Manager – ESG

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Loading Data...

แพนอินเตอร์เนชั่นแนล ทำเรื่องใหญ่ให้สำเร็จ ต้องจับมือไปด้วยกัน

ข่าว

แพนอินเตอร์เนชั่นแนล ทำเรื่องใหญ่ให้สำเร็จ ต้องจับมือไปด้วยกัน

แพนอินเตอร์เนชั่นแนล ทำเรื่องใหญ่ให้สำเร็จ ต้องจับมือไปด้วยกัน
Loading Data...
เมื่อแนวคิดเรื่อง ESG ถูกให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจทุกรูปแบบ และเชื่อมโยงทุกกระบวนการของธุรกิจ บริษัทแพนอินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาจัดซื้อกลางแบบครบวงจรในกลุ่มบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้นำแนวคิดการทำงานด้านความยั่งยืนตามกรอบ ESG มาใช้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยความตั้งใจที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างโลกใบนี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิม

จัดหาจัดซื้ออย่างยั่งยืน

คุณเศรษฐา ทวีศรี รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัทแพนอินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ได้เล่าถึงบทบาทและภารกิจของบริษัท หลังการก่อตั้งใน พ.ศ. 2515 หรือกว่า 52 ปีมาแล้ว ที่เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทนำเข้าสินค้าเข้ามาจําหน่ายในประเทศไทย ก่อนจะเป็นบริษัทจัดซื้อกลางแบบครบวงจรให้กับกลุ่มบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในเวลาต่อมา

“ประมาณ 20 ปีก่อน เราได้รับแต่งตั้งเป็นบริษัทจัดซื้อกลางให้กับกลุ่มไทยเบฟฯ ครอบคลุมการจัดซื้อประมาณ 170 บริษัทในกลุ่มฯ โดยความตั้งใจของเราคือ การเป็น Group Procurement Shared Service หรือเป็นศูนย์กลางด้านงานจัดซื้อจัดหาสินค้าและบริการแบบครบวงจร ที่มีการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพตามหลักธรรมาภิบาล พร้อมยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจตามหลักปฏิบัติในการจัดหาอย่างยั่งยืน (Sustainable Procurement) ให้กับกลุ่มบริษัทฯ ภายใต้พันธกิจการให้บริการจัดหาสินค้าและบริการอันเป็นเลิศทั้งในระดับท้องถิ่นและสากล ด้วยองค์ความรู้ ความชำนาญ และมาตรฐานสูงสุดของความเป็นมืออาชีพด้านการจัดซื้อ

“นอกเหนือจากการจัดซื้อให้ได้ราคาที่ดี ได้คุณภาพที่ดีแล้ว เราจะมุ่งเน้นมิติความยั่งยืนด้วยขณะเดียวกันต้องทํางานร่วมกับคู่ค้า โดยช่วยให้เขาไปสู่เป้าหมายเดียวกับเรา ในเรื่อง Net Zero และ Scope 3 GHG Emissions Reduction ด้วย”

แม้ว่าการดำเนินธุรกิจจัดซื้อกลางจะไม่ได้มีกิจกรรมเกี่ยวกับการผลิตโดยตรง แต่บริษัทยังให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่อยู่เหนือการควบคุม (Other Emissions Indirect) ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวมีสัดส่วนมากที่สุดของ Carbon Footprint ครอบคลุมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เช่น การจัดซื้อจัดหาสินค้าและบริการ การขนส่งสินค้าจากต้นน้ำและปลายน้ำ การเดินทางเพื่อธุรกิจ และการจัดการของเสีย แม้จะไม่ได้เป็นแหล่งที่องค์กรควบคุมหรือเป็นเจ้าของก็ตาม

“ประเด็นสําคัญของการจัดการห่วงโซ่อุปทานด้านความยั่งยืนจะมี 5 ด้านด้วยกันคือ 1. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) 2. การจัดการน้ำ (Water Management) 3. สิทธิมนุษยชน (Human Rights) 4. อาชีวอนามัยและความปลอดภัย (Occupational Health and Safety) และ 5. จริยธรรมทางธุรกิจ (Business Ethics) ซึ่งเราได้นํามาเป็นหลักการพัฒนาความยั่งยืนในมิติของงานจัดซื้อจัดจ้าง 3 เรื่องด้วยกัน เรื่องที่ 1 การคัดกรองผู้ค้า (Supplier Screening) เรื่องที่ 2 การประเมินคู่ค้า (Supplier Assessment) และเรื่องที่ 3 การพัฒนาคู่ค้า (Supplier Development)”

ESG กับการจัดการห่วงโซ่อุปทาน

การดำเนินงานแบบ ESG มีความสําคัญมาก โดยเฉพาะขอบเขตการทํางานร่วมกับคู่ค้า ซึ่งบริษัทได้จัดให้มีกิจกรรม Business Partner Award ขึ้น เพื่อเปิดพื้นที่ให้คู่ค้าแต่ละรายนําเสนอโครงการดี ๆ ในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ

“เราทํามาแล้ว 8 ปี ช่วงแรกเราต้องการที่จะพัฒนาคู่ค้าในเรื่องความสามารถในการส่งมอบสินค้าได้ตรงตามเวลาและได้คุณภาพ ต่อมา เราเห็นความสําคัญของความยั่งยืน จึงเพิ่มเกณฑ์เรื่องความยั่งยืนเข้ามา ซึ่งเราอยากพัฒนาคู่ค้าไปกับเรา พยายามให้คู่ค้า เห็นความสำคัญของการซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ มาผลิตสินค้าให้กับเรา การได้มาซึ่งทรัพยากร ถูกต้อง ถูกที่หรือไม่ และที่สำคัญใช้ทรัพยากรมากเกินไปหรือเปล่า นี่คือหนึ่งในโครงการที่เราคิดว่ามีความสําคัญในการพัฒนาคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง

“อีกเรื่องหนึ่งคือ เราให้ความสำคัญกับการรับรองด้านความยั่งยืน เราจะขอเอกสารรับรอง (Certificate) จากคู่ค้า เพราะสินค้าที่จะนํามาใช้ต้องเป็นสินค้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและไม่เบียดเบียนสังคม

“เราเลือกใช้บรรจุภัณฑ์จากคู่ค้าที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจบนแนวคิดความยั่งยืนเช่นเดียวกัน รวมถึงให้ความสำคัญในเรื่องสังคมไปพร้อมกันด้วย เช่น มีการจ้างแรงงานที่ถูกกฎหมาย มีจริยธรรม มีความโปร่งใส และไม่เอาเปรียบสังคมในทุกมิติ

“สิ่งที่เราต้องการในการจัดซื้อบรรจุภัณฑ์กระดาษคือ เอกสารที่รับรองด้านความยั่งยืน เพื่อยืนยันว่า สินค้าดังกล่าวผลิตโดยคํานึงถึงการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ บรรจุภัณฑ์กระดาษที่เราใช้อยู่ปัจจุบันจะมีการรับรองเครื่องหมาย FSC (Forest Stewardship Council) ผู้บริโภคจะรู้ได้ทันทีว่า บรรจุภัณฑ์กระดาษนี้ถูกผลิตขึ้นตามแนวทางด้านความยั่งยืน ไม่ได้มาจากการตัดไม้ทําลายป่า และสามารถรีไซเคิลได้ เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างมีประโยชน์สูงสุด”
ทั้งนี้ FSC คือองค์กรที่ส่งเสริมการจัดการป่าไม้อย่างรับผิดชอบ การปรากฏสัญลักษณ์นี้บนบรรจุภัณฑ์ จึงแสดงถึงมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และผ่านการตรวจสอบตลอดห่วงโซ่อุปทานว่ามาจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์ที่มีการบริหารจัดการอย่างรับผิดชอบ

 

แพนอินเตอร์เนชั่นแนล ทำเรื่องใหญ่ให้สำเร็จ ต้องจับมือไปด้วยกัน
แพนอินเตอร์เนชั่นแนล ทำเรื่องใหญ่ให้สำเร็จ ต้องจับมือไปด้วยกัน

พาร์ตเนอร์ที่ร่วมเดินทางตามปรัชญาเดียวกัน

แพนอินเตอร์เนชั่นแนลดำเนินธุรกิจภายใต้มาตรฐาน ISO 20400 ในการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Procurement มีแนวทางให้คู่ค้าปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ Supplier and Business Partner Code of Practice ซึ่งคู่ค้าทุกรายต้องทำความเข้าใจและดำเนินการตามหลักการดังกล่าว หลังผ่านข้อกำหนดต่าง ๆ ในกระบวนการพิจารณาคู่ค้า

“เอกสารการรับรองด้านความยั่งยืนเป็นหนึ่งในเกณฑ์พิจารณาคู่ค้า ในกระบวนการ Bidding หรือสอบราคาการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าวัตถุดิบต่าง ๆ หรือบรรจุภัณฑ์

“ในส่วนของบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน (Sustainable Packaging) เราโฟกัส 5 เรื่องด้วยกัน คือ 4R/1I
• Reduce ทําอย่างไรให้บรรจุภัณฑ์น้ำหนักลดลงได้บ้าง เพราะหมายถึงการลดทรัพยากรในการผลิตตัวบรรจุภัณฑ์
• Retrieve การเก็บกลับหลังบริโภค (หรือนําไปใช้แล้ว) จะสามารถเก็บกลับมา
ได้อย่างไรบ้าง
• Reuse & Recycle สามารถนํามาใช้ซ้ำและนำมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้หรือไม่
• Innovation ที่ต้องมองไปยังต้นน้ำในการสร้างนวัตกรรมของสินค้า เราสามารถจะดีไซน์บรรจุภัณฑ์นี้ให้ดีขึ้นได้หรือไม่

“เหตุผลที่เราเลือก SCGP มาเป็นพันธมิตร อย่างแรกคือ ความเป็นผู้นําด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจรของภูมิภาค ซึ่งที่ผ่านมา หลายครั้งสิ่งที่เราได้รับก็เกิดจากนวัตกรรมของ SCGP รวมถึงการแชร์ข้อมูลกันอย่างสม่ำเสมอ SCGP ถือเป็น Top of Mind ของเราเลย เพราะมีแนวทางการปฏิบัติที่สอดคล้องกับเรา โดยเฉพาะเรื่อง ESG และการพัฒนาความยั่งยืน

“หลังจากทํางานร่วมกันมา รู้สึกประทับใจหลายเรื่อง อย่างแรกคือ การดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ข้อนี้สําคัญมาก เวลาเราต้องการอะไร SCGP สามารถตอบสนองและให้คําตอบได้ในทันที อีกอย่างคือเรื่องความยืดหยุ่น เนื่องจากโลกเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การคิดค้นบรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆ ของเราก็ได้รับการตอบสนองอย่างทันเวลา ทั้งเรื่องดีไซน์ใหม่ ๆ รวมถึงการแชร์ข้อมูล และ Market Insights ที่ทําให้เราตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายและทันท่วงที

“ในอนาคต เราจะมีหลักการสำคัญที่จะนำมาใช้คือ EPR (Extended Producer Responsibility หลักการที่ขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตไปยังช่วงต่าง ๆ ในวงจรชีวิตของบรรจุภัณฑ์) ทําให้เราต้องรับผิดชอบบรรจุภัณฑ์ที่นําไปใช้และเก็บกลับมาใช้ซ้ำ หรือนํามาสู่กระบวนการหมุนเวียน ซึ่งจะเป็นอีกโปรเจกต์หนึ่งที่เราจะคุยเพื่อพัฒนาร่วมกันกับ SCGP

“เช่นเดียวกับการทำงานในโครงการ Thailand Supply Chain Network (TSCN) ที่ทั้งเราและ SCGP รวมถึงองค์กรชั้นนำอีกหลายแห่ง ได้ร่วมกันดำเนินงานในการพัฒนาหรือช่วยให้คำแนะนำกับองค์กรขนาดเล็ก ในเรื่องการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพราะเราคิดว่าการทํางานด้านความยั่งยืนนั้น ไม่สามารถทําเพียงหน่วยงานเดียวได้ สิ่งสําคัญคือ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือร่วมพลังกันทํางาน เพื่อก้าวสู่เป้าหมายความยั่งยืนในอนาคตไปด้วยกัน” คุณเศรษฐากล่าวทิ้งท้าย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Loading Data...

AI เติบโตไม่หยุด เป็นเพื่อนกับ AI ได้เร็ว ยิ่งส่งผลดีต่อแบรนด์

ข่าว

AI เติบโตไม่หยุด เป็นเพื่อนกับ AI ได้เร็ว ยิ่งส่งผลดีต่อแบรนด์

AI เติบโตไม่หยุดเป็นเพื่อนกับ AI ได้เร็ว ยิ่งส่งผลดีต่อแบรนด์
Loading Data...

ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในวันนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ช่วยสำคัญของโลกธุรกิจ ด้วยความสามารถที่หลากหลายและทรงพลังจนยากจะมองข้าม แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ศักยภาพของ AI ที่สามารถพัฒนาและเรียนรู้ได้อย่างไม่รู้จบ ดังนั้น ความสามารถของ AI ที่เราเห็นในวันนี้ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดแน่นอน ใน Your Answers ฉบับนี้ ผศ. ดร.เอกก์ ภทรธนกุล จาก Chulalongkorn Business School ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดที่ติดตามความก้าวหน้าของ AI มาโดยตลอด จะมาร่วมแชร์มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิธีการนำ AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อแบรนด์

AI เติบโตอย่างก้าวกระโดดในระดับ 10x

AI กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนมีโอกาสพัฒนาไปสู่ระดับที่เรียกว่า “อัจฉริยะ” หรือ Artificial Genius (AG) ซึ่งคาดว่าไม่นานจะกลายเป็นความจริง จากเดิมที่ AI เรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาล ซึ่งนำไปสู่การเกิดสติปัญญา ก็ไม่ต่างจากมนุษย์ที่หากเรียนรู้มากก็จะฉลาดขึ้น

“เราจะเห็นว่า AI พัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วมาก มีการคาดการณ์ว่า AI จะเติบโตในระดับ 10 เท่าในแต่ละปี หมายความว่า ปีนี้เก่งขึ้น 10 เท่า ปีหน้าเก่งขึ้น 100 เท่า และปีต่อไปก็จะเก่งขึ้น 1,000 เท่า การเติบโตนี้คือก้าวกระโดดอย่างแท้จริง”

ในช่วงหลัง เราเริ่มรู้จัก Generative AI ที่สามารถสร้างสิ่งใหม่จากข้อมูลที่มีอยู่ โดยนักการตลาดสามารถใช้ Generative AI ในเชิงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เปรียบได้กับนักการตลาดที่มีทักษะทั้งด้านการคิดและการปฏิบัติ พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และเข้าใจลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง

5 มิติของการเปลี่ยนแปลงในยุค AI

1. เก่ง:
วันนี้นักการตลาดสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Microsoft Copilot ในการวิเคราะห์ SWOT ของแบรนด์หรือคู่แข่งได้เพียงไม่กี่คลิก โดย AI จะสร้างไฟล์ Word และแปลงเป็น PowerPoint ที่ตกแต่งเรียบร้อยพร้อมคำอธิบาย สามารถนำเสนอผลงานได้ทันที ไม่ใช่แค่เป็นผู้ช่วยทำ แต่ยังเป็นผู้ช่วยคิด

2. เร็ว: ยกตัวอย่าง Suno AI โปรแกรมสร้างเพลงที่ใช้เวลาเพียง 2 นาทีในการแต่งเพลงจากเนื้อหาที่ป้อนเข้าไป ความเร็วนี้ทำให้การทำงานสร้างสรรค์สามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ศิลป์: AI อย่าง Midjourney และ Microsoft Designer ช่วยให้การสร้างสรรค์งานศิลปะเป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการซับซ้อนเช่นในอดีต

4. คุ้ม: AI ช่วยลดต้นทุนทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การแต่งเพลงที่เคยมีต้นทุนสูง ปัจจุบันสามารถทำได้ในราคาหลัก 10 บาท

5. ง่าย: AI ทุกวันนี้สามารถเข้าใจคำสั่งได้แม้จะมีความคลาดเคลื่อน ทำให้การใช้งานง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพสูง แม้คำสั่งจะไม่ชัดเจนก็ตาม

AI: เครื่องมือทางการตลาดที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี

ตัวอย่างการใช้ AI ของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการสื่อสารโครงการฝึกอบรมออกสู่สาธารณชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ครั้งนั้นเราต้องการโปสเตอร์สำหรับโปรโมตโครงการ โดยอยากสื่อสารภาพของห้องเรียนที่เด็กสอนผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นโจทย์ที่มีความย้อนแย้งอยู่ในตัว หากเป็นเมื่อก่อนคงต้องถ่ายภาพใหม่ แต่วันนี้เราใช้ Midjourney สร้างภาพและ ChatGPT 4.0 ช่วยคิดคำโปรย จากนั้นนำทั้งหมดไปใส่ใน Canva เพื่อออกแบบโปสเตอร์ กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียงเดือนเดียวและสามารถขายคอร์สได้หมดในทุกที่นั่ง”

การใช้ AI ในการจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น Google AdWords และ Google AdSense ทำให้การโฆษณามีความแม่นยำและใช้งบประมาณน้อยลง นี่คือช่วงเวลาที่ทุกแบรนด์ควรหันมาเป็นเพื่อนกับ AI ก่อนที่คู่แข่งจะนำ AI มาใช้อย่างชาญฉลาด

สิ่งสำคัญที่ควรระวังคือ แบรนด์ต้องเริ่มจากการมีข้อมูล (Data) ที่ถูกต้อง ได้มาอย่างถูกกฎหมาย และไม่ละเมิดจริยธรรม แม้ตอนนี้กฎระเบียบเรื่อง AI จะยังไม่ชัดเจน แต่กฎเรื่อง Data นั้นชัดเจนแล้ว ดังนั้น การดูแลข้อมูลให้ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้ AI เป็นประโยชน์ต่อแบรนด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Loading Data...

ขับเคลื่อน Duy Tan ผลักดัน ESG อย่างยั่งยืน

ข่าว

ขับเคลื่อน Duy Tan ผลักดัน ESG อย่างยั่งยืน

ขับเคลื่อน Duy Tan ผลักดัน ESG อย่างยั่งยืน
Loading Data...
ความสำเร็จทางธุรกิจ หลายคนอาจจะคิดถึงผลกำไรที่เป็นตัวเงิน แต่ในปัจจุบัน การบริหารองค์กรเพื่อสร้างความยั่งยืนโดยยึดหลัก ESG ที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และ ธรรมาภิบาล (Governance) เป็นกระแสที่ธุรกิจและอุตสาหกรรมยุคใหม่นำมาใช้ เพื่อสร้างความยั่งยืน และเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กร P-DNA ฉบับนี้ เรามีโอกาสได้คุยกับพี่โอ๋ – จามรวุฒิ ตำนานจิตร General Director – Duy Tan Plastics ที่จะมาบอกเล่าแนวทางการบริหารงานที่ไม่เพียงนำหลักการ ESG มาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างความอย่างยั่งยืนให้องค์กร แต่ยังชวนพนักงานทุกระดับตระหนักเรื่อง ESG เพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติและพร้อมลงมือทำไปด้วยกัน
ขับเคลื่อน Duy Tan ผลักดัน ESG อย่างยั่งยืน
ขับเคลื่อน Duy Tan ผลักดัน ESG อย่างยั่งยืน

จุดเริ่มต้นการเรียนรู้ที่หลากหลาย

พี่โอ๋เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่ SCG เป็นที่แรก หลังศึกษาจบระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมเครื่องกล ได้รับทุนจาก SCG ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา เมื่อเดินทางกลับมาประเทศไทย ได้ไปประจำที่บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด

“15 ปีที่อยู่ที่สยามคูโบต้า ผมได้เรียนรู้งานหลายด้าน จากงานด้านวิศวกร การประกันคุณภาพสินค้า งานด้านการผลิต ไปจนถึงด้านการขายและการตลาด โดยตำแหน่งสุดท้ายตอนอยู่ที่คูโบต้าคือ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด จากนั้นผมย้ายกลับมาทำงานที่ SCG Paper (ในตอนนั้นกำลังเปลี่ยนเป็น SCG Packaging) ไปประจำอยู่ที่บริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด โรงงานปทุมธานี ก่อนจะย้ายไปฝ่าย Packaging Solutions ซึ่งตอนนั้นเริ่มมีการขยายธุรกิจไปทาง Polymer Packaging ผมได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่ Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้า ดำเนินธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปในประเทศเวียดนาม ธุรกิจของ Duy Tan จะมี 2 ธุรกิจหลักคือ บรรจุภัณฑ์พลาสติก ที่เป็น Rigid Packaging อีกธุรกิจหนึ่งคือ ผลิตภัณฑ์ Houseware เป็นสินค้าขายปลีก การไปทำงานที่ Duy Tan ทำให้ผมรู้จักกับวัตถุดิบที่แตกต่างกัน ได้เรียนรู้การทำงานที่หลากหลาย ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายมากในช่วงนั้น”

ขับเคลื่อน Duy Tan ผลักดัน ESG

“ในการขับเคลื่อนธุรกิจ ESG เป็นประเด็นที่เวียดนามให้ความสำคัญมาก เพราะเวียดนามวางตัวเองเป็นฐานการผลิตสินค้าและเน้นการส่งออก ซึ่งประเทศปลายทางการส่งออกอย่างภูมิภาคอเมริกาและยุโรป ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG อย่างมาก ทางเวียดนามจึงออกกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเพื่อป้องกันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น ถือเป็นมาตรการเชิงรุกที่อำนวยความสะดวกให้นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในเวียดนาม

“ESG เป็นหนึ่งในนโยบายของ SCGP ซึ่งผมวางแนวปฏิบัติในเรื่องนี้ไว้ชัดเจน โดยแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ
1. Product Offering ผลิตภัณฑ์ของเราต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พยายามลดการใช้วัตถุดิบให้น้อยลง (Reduce) โดยการปรับดีไซน์หรือนำเทคโนโลยีมาช่วย ที่สำคัญคุณภาพต้องไม่ลดลง และเมื่อใช้เสร็จแล้วนำกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ได้ (Recyclable) ซึ่งขณะนี้ Duy Tan ทำอยู่ประมาณ 99 เปอร์เซ็นต์ เป้าหมายในระยะยาวเราจะทำให้เป็น 100 เปอร์เซ็นต์ รวมถึง การนำวัตถุดิบกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ (Recycled Content) โดยใช้เม็ดพลาสติก ที่ผ่านการหมุนเวียนแทนการใช้เม็ดพลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) ในผลิตภัณฑ์
2. Operation Efficiency 5 ปีต่อจากนี้ เราจะเน้นการใช้พลังงานให้น้อยลงปรับปรุงคุณภาพเครื่องจักรให้ผลิตของเสียลดลง เมื่อของเสียน้อยลง การใช้พลังงานการผลิตและปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาก็ลดลง 
3. Marketing เรามีโครงการที่พร้อมทำความร่วมมือกับลูกค้ากลุ่ม B2B เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ รักษ์โลก และ
4. Circular Economy เนื่องจาก Duy Tan มีสินค้าเฮาส์แวร์ที่จำหน่ายปลีก เราจึงทำแคมเปญนำเก่ามาแลกใหม่ และนำสินค้าเก่ามาบดเพื่อรีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติกหมุนเวียนกลับไปผลิตเป็นสินค้าอีกครั้ง”
วาง Plan ทุกระยะ จัด KPI ทุกระดับ

“ในการผลักดันให้หลักการ ESG ประสบความสำเร็จ ผมกำหนดให้เป็นนโยบายซึ่งต้องครอบคลุมทั้งด้านการค้า การผลิต และการพัฒนาทรัพยากรบุคคล โดยกำหนดไว้ทั้งในแผนระยะกลาง – ยาว รวมถึงแผนประจำปี และมี KPI เป็นตัวชี้วัด สำหรับผู้บริหารและฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งแต่ละฝ่ายจะแตกต่างกันไป ตามลักษณะเฉพาะของงานที่รับผิดชอบอยู่ เพื่อช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้ไปในทิศทางเดียวกัน

“ความท้าทายคือ การสร้างความรู้และความเข้าใจให้แก่ผู้บริหารและพนักงานทุกคน นอกจากนี้เรายังต้องทำงานร่วมกับ Stakeholder ซึ่งต้องวางแนวปฏิบัติร่วมกันให้ชัดเจน และรับรู้ถึงต้นทุนหรือกระบวนการที่ต้องเพิ่มขึ้นสำหรับการสร้างผลิตภัณฑ์รักษ์โลก เป็นเรื่องที่ต้องสร้างความเข้าใจร่วมกัน”

รบกวนธรรมชาติน้อยลง คุณภาพชีวิตดีขึ้น

“การพัฒนาองค์กรโดยยึดหลัก ESG ทำให้คนรุ่นใหม่ซึ่งให้ความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน อยากเข้ามาทำงานร่วมกับเรา ขณะเดียวกันพนักงานที่เข้ามาทำงานก็เกิดความภาคภูมิใจที่ได้ทำงานในองค์กรที่ไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่ผลกำไร ส่วนลูกค้าที่เป็นองค์กรเราก็มีส่วนในการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ร่วมกัน หรือหากเป็นผู้บริโภคก็เกิดความรู้สึกว่าได้มีส่วนรับผิดชอบสังคม ที่สำคัญแนวทางดังกล่าวทำให้เรารบกวนธรรมชาติน้อยลง สิ่งแวดล้อมดีขึ้น คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น สังคมก็จะดีขึ้นตามมา”

เรียนรู้เชิงรุก เปิดใจรับการเปลี่ยนแปลง

สำหรับแนวคิดในการทำงาน พี่โอ๋ยึดหลักพยายามทำงานให้เต็มที่เพื่อไม่ต้องกลับมาเสียดายในภายหลัง โดยต้องเชื่อมั่นในการทำงานเป็นทีม และถามตนเองเสมอว่า ในแต่ละงานที่ได้รับมอบหมาย “เราทำอะไรได้บ้าง และลงมือทำแล้วหรือยัง”

“SCGP มีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น้อง ๆ ต้องมี คือ 1. องค์ความรู้ ต้องเรียนรู้เพื่อพัฒนาความรู้ตลอดเวลา เพราะธุรกิจเราไม่ได้อยู่แค่เรื่องกระดาษหรือกล่องอีกต่อไป 2. การเรียนรู้เชิงรุก เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงหรือเทรนด์ธุรกิจ 3. ทำงานให้มีประสิทธิภาพทุกขั้นตอน โดยสนับสนุนส่งเสริมการทำงานให้แก่ทุกฝ่ายไม่เฉพาะในส่วนงานของตนเองเท่านั้น และ 4. เปิดรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อรับการขยายธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น”

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Loading Data...

บริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด โรงงานราชบุรี รับรางวัล “The Prime Minister Industry Award 2024” ประจำปี 2567

ข่าว

บริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด โรงงานราชบุรี รับรางวัล “The Prime Minister Industry Award 2024” ประจำปี 2567

Loading Data...

บริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด โรงงานราชบุรี โดย นายโชติชัย จันทร์วัฒรังกูล Manufacturing Director รับรางวัล “The Prime Minister Industry Award 2024” รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ด้านการเพิ่มผลผลิต ประจำปี 2567 จากกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีความคิดริเริ่ม และมีความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศให้ก้าวหน้า ตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะดวก สะอาด โปร่งใส” โดยพิธีมอบรางวัลจัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Loading Data...

SCGP เปิดบ้านพาสื่อมวลชนและ ESG Ambassador ชมศูนย์การเรียนรู้ชุมชนต้นแบบจัดการขยะอย่างยั่งยืน และฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ตามแนวทาง Inclusive Green Growth

ข่าว

SCGP เปิดบ้านพาสื่อมวลชนและ ESG Ambassador ชมศูนย์การเรียนรู้ชุมชนต้นแบบจัดการขยะอย่างยั่งยืน และฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ตามแนวทาง Inclusive Green Growth

Loading Data...

SCGP นำ ESG Ambassador จากโครงการ Sharing The Dream และสื่อมวลชน จาก 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศเวียดนาม และประเทศลาว ศึกษาและเรียนรู้การจัดการขยะในชุมชนและการเปลี่ยนขยะสู่ของใช้ที่เป็นประโยชน์ ใน “ชุมชนบ้านหนองไม้เฝ้า” อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นชุมชนภายใต้โครงการ “ SCGP ชุมชน LIKE (ไร้) ขยะ” ที่ได้รับรางวัลพระราชทานชนะเลิศระดับประเทศ “ชุมชนปลอดขยะ (Zero Waste)” ปี 2565 พร้อมเยี่ยมชมบริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด (โรงงานราชบุรี) และ SCGP – Inspired Solutions Studio เผยกระบวนการผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งเติบโตตามแนวทาง Inclusive Green Growth อย่างยั่งยืน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Loading Data...

ประกาศผล SCGP Packaging Speak Out 2024 ครั้งที่ 9 สุดยอดนักออกแบบและนักการตลาดรุ่นใหม่

ข่าว

ประกาศผล SCGP Packaging Speak Out 2024 ครั้งที่ 9
สุดยอดนักออกแบบและนักการตลาดรุ่นใหม่

Loading Data...

บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ร่วมกับ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิยุทธสาร ณ นคร จัดการแข่งขัน “SCGP Packaging Speak Out 2024” ครั้งที่ 9 รอบชิงชนะเลิศ เพื่อเฟ้นหาผู้มีความสามารถด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์และการสร้างแบรนด์ รับเงินรางวัลรวมกว่า 200,000 บาท พร้อมโอกาสฝึกงานกับ SCGP เพื่อเป็นบันไดก้าวแรกสู่การเป็นนักออกแบบและนักการตลาดรุ่นใหม่ ซึ่งครั้งนี้มีนิสิตนักศึกษาสนใจร่วมตบเท้าเข้าสู่สนามแข่งขันกว่า 278 ทีม จนคัดเลือกเหลือ 15 ทีมสุดท้าย

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ในฐานะที่บริษัทดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้นใส่ใจต่อความรับผิดชอบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงให้ความสำคัญอย่างมากต่อการคิดค้นพัฒนาบรรจุภัณฑ์สินค้าใหม่ ๆ  เพื่อมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คนในสังคม จนเป็นที่มาของการจับมือร่วมกับสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิยุทธสาร ณ นคร เพื่อจัดการแข่งขัน “SCGP Packaging Speak Out 2024”  

การแข่งขันครั้งนี้เปิดรับนิสิตนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศมาร่วมสร้างและพัฒนาแบรนด์เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ผ่านการออกแบบบรรจุภัณฑ์ในโจทย์ Reduce-Reuse-Recycle ภายใต้แนวคิด “Packaging For A Brighter Tomorrow” เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมการแข่งขันรวมทั้งสิ้น 278 ทีม โดยทีมที่สามารถผ่านการคัดเลือกในรอบแรกจำนวน 15 ทีม ได้รับโอกาสพัฒนาผลงานผ่านการเวิร์คช็อป พร้อมรับคำปรึกษาแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ก่อนที่จะนำผลงานมาเสนอต่อในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทางคณะกรรมการต่างให้การยอมรับว่า เป็น 15 ทีมที่มีความโดดเด่นทั้งด้านการสร้างแบรนด์ ความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบ และการวางกลยุทธ์ทางการตลาดของแบรนด์

ในการตัดสินรอบสุดท้าย แต่ละทีมต้องพัฒนาชิ้นงานออกแบบ และนำเสนอแผนการสร้างแบรนด์ต่อคณะกรรมการ ซึ่งทีมที่ชนะเลิศรางวัล THE BEST OF CHALLENGE ได้รับเงินรางวัล 70,000 บาท พร้อมสิทธิ์ในการฝึกงานกับ SCGP ได้แก่ ทีม Honey Queen  โดยนางสาวนริศรา จันดาลี และนางสาวเพทาย เทพเนาว์ จากคณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ในผลงาน “ฝากรักจากใจ ส้มสายน้ำผึ้ง” ของฝากส้มสายน้ำผึ้งฝางเกรดพรีเมียม ที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคสินค้า GI (Geographical Indication) ส่งเสริมรายได้ให้กับเกษตรกร และส่งเสริมการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

“ส่วนตัวเรียนด้านแพคเกจจิ้ง ไม่มีความรู้ด้านการตลาดเลย กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ต้องผ่านการรับคำปรึกษาจากพี่ๆ ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านการออกแบบและการตลาดอย่างลึกซึ้งมาก” นางสาวเพทาย กล่าว
“ต้องขอบคุณ SCGP ที่จัดโครงการดีๆ แบบนี้ขึ้น ในโอกาสหน้าก็อยากเชิญชวนน้องๆ มาเข้าร่วมโครงการ รับรองว่าได้ความรู้เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้นแน่นอน” นางสาวนริศรา กล่าว

ผู้ได้รับรางวัล SILVER STAR AWARD พร้อมกับเงินรางวัล 30,000 บาท  คือ ทีม AnyWhareWithMe โดยนางสาวเบญจภรณ์ เอกพจน์ นางสาวสรวีย์ ญาธนิญกรณ์ และนางสาวฐิติวรดา โชควัชระไพศาล  จากคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในผลงาน “AnyWhereWithMe” ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย ที่ออกแบบให้บรรจุภัณฑ์สามารถประกอบเข้าด้วยกันและถอดออกได้ เพื่อความสะดวกในการพกพา

รางวัล BRONZE STAR AWARD มีจำนวน 3 ทีม ได้รับเงินรางวัลทีมละ 20,000 บาท ได้แก่ 1) ทีม Brix ในผลงาน “บริกศ์” โดยนายปภังกร โล่ห์เพชรัตน์ นายภวิศ ติยะวัชรพงศ์ จาก School of Integrated Innovation จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนางสาวปราณปริยา ธรรมประทานกุล จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2) ทีม GRAND the one and only ในผลงาน “ชโลม”  โดยนางสาวรัชดาภรณ์ กมลช่วง นางสาววิจิตรา บรรณารักษ์ และ นางสาวปวีณา จันสว่าง จากคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น 3) ทีม Rocket WBD ในงานผล “บีบเบิ้ล”  โดยนายชนทัต บัวเพชร นางสาวพรปรียา อมรประภาธีรกุล และนายยุทธพิชัย โฉลกดี จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รางวัล HONORABLE MENTIONS จำนวน 4 ทีม ได้รับเงินรางวัลทีมละ 10,000 บาท ได้แก่ 1) ทีม SaiJai ในผลงาน “SaiJai” โดยนางสาวธัชปภา เมธากิตติภพ นางสาววาดฝัน จินต์วุฒิ และนางสาวสรรญสรส บุญวรรณ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2) ทีม Selakhun ในผลงาน “3 ALL Packaging จากแบรนด์ SASU” โดยนางสาวศรุตา เสลาคุณ คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 3) ทีม Star stuff02 ในผลงาน “ชาชง”  โดยนางสาวขวัญแก้ว อยู่ชมวงษ์ นางสาวอภัสรา คล้ายรักษ์ และนางสาวสุธาสินี สวัสดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต และ 4) ทีม tims ในผลงาน “Smit”  โดยนางสาวภาสินี เกียรติเสริมสกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ นางสาวปารย์ฝัน เทียนบุญ และนางสาวปุณิกา อจละนันท์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นายวิชาญ กล่าวเสริมว่า “ขอบคุณนิสิตนักศึกษาทุกทีมที่ส่งผลงานเข้าประกวดในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ 9 ของ SCGP Packaging Speak Out ซึ่งเป็นการที่สนับสนุนให้คนเจนเนอเรชันใหม่เป็นบุคคลากรที่มีคุณค่าต่อสังคมในอนาคต เพื่อให้ประเทศชาติเติบโตไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน และในระหว่างการประกวดยังได้รับคำปรึกษาจากผู้มีประสบการณ์เสมือนกับทำงานจริง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดียิ่งในการพัฒนาความรู้ต่อไป” พร้อมทิ้งท้ายให้เตรียมพบกับโครงการ SCGP Packaging Speak Out ในปีที่ 10

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Loading Data...

SCGP รับรางวัล Best Innovative Company Awards ในงาน SET Awards 2024

ข่าว

Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation
(Duy Tan), member of SCGP ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกคงรูป และเครื่องใช้ภายในบ้านรายใหญ่ในประเทศเวียดนาม

Loading Data...

บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP โดย นายเถลิงศักดิ์ ราชบุรี (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กิจการเยื่อและกระดาษ รับรางวัล “Best Innovative Company Awards”

ในประเภทรางวัล SET Awards of Honor ภายในงาน SET Awards 2024 ที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร สะท้อนถึงความยอดเยี่ยมด้านการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมที่มีคุณค่าช่วยส่งเสริมภาพรวมอุตสาหกรรมให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2022-2024 โดย SCGP ได้วิจัยและพัฒนา “ยูคาลิปตัสไฮบริดสายพันธุ์ใหม่เพื่อความยั่งยืน” จากการผสมเกสรต่างสายพันธุ์ร่วมกับการพัฒนาเทคนิคชีวโมเลกุลระดับสูงและเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพื่อให้ได้ยูคาลิปตัสสายพันธุ์ใหม่ที่มีการเติบโต และให้ผลผลิตที่สูงขึ้น 40% สามารถทนโรค ทนแมลง และเหมาะกับพื้นที่ในการปลูกในพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนน้อยและปริมาณน้ำฝนปกติ สามารถช่วยเสริมมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่คุณค่า พิธีมอบจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Loading Data...