SCGP Newsroom

โอกาสลงทุนยุค New Normal

ถ้าถามว่ามีธุรกิจอะไรบ้างที่ยังเติบโตในช่วงวิกฤต COVID-19? หลายคนคงนึกถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) หรือธุรกิจบริการรับส่งอาหาร (Food Delivery) ซึ่งเห็นชัดว่าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จากเดิมที่เป็นที่นิยมเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่ที่ใช้สมาร์ตโฟน จนกระทั่งการเกิดวิกฤตใหญ่ COVID-19 ทำให้คนทุก Generation จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยการหันมาใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่าง ๆ บนโลกออนไลน์มากขึ้น นอกจากนี้ สินค้าเกี่ยวกับการดูแลสุขอนามัย (Healthcare) ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่หลายคนนึกถึง เพราะจะเห็นว่าผู้คนได้ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความสะอาดเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทเจลล้างมือ แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ และหน้ากากอนามัยที่มีความต้องการใช้พุ่งสูงจนกลายเป็นสินค้าหายากในช่วงเวลาหนึ่ง ยังมีอีกหนึ่งธุรกิจที่เป็นส่วนสำคัญในห่วงโซ่อุปทานและมีศักยภาพเติบโตไปกับอุตสาหกรรมเหล่านี้ นั่นคือ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งกำลังจะมีผู้ผลิตและให้บริการบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนเตรียมจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ‘บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง’ (“SCGP” หรือ “บริษัทฯ”) ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน SCGP เป็นธุรกิจ 1 ใน 3 กลุ่มธุรกิจหลักของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (“SCC”) ซึ่งเมื่อดูผลการดำเนินงานล่าสุดในช่วงครึ่งปีแรก 2563 พบว่า ธุรกิจบรรจุภัณฑ์สามารถสร้างการเติบโตท่ามกลางวิกฤต COVID-19 จากการเป็นธุรกิจที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค สำหรับธุรกิจของ SCGP แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ประกอบด้วย สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibrous Chain) โดยปัจจุบันมีบรรจุภัณฑ์ครอบคลุมและหลากหลาย และมีฐานการผลิต 5 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ SCGP ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทำให้บรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ และเป็นเหตุผลที่ทำให้ SCGP มีฐานลูกค้ากระจายอยู่ในธุรกิจต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โลจิสติกส์ และอีคอมเมิร์ซ โดยปัจจุบันสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ไปกว่า 20 ประเทศทั่วโลก การทำธุรกิจคงไม่อาจหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะสังคมและผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ วัน SCGP จึงวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทำให้บรรจุภัณฑ์และโซลูชันของ SCGP มีความแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ของลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงไลฟ์สไตล์การใช้งานของผู้บริโภคด้วย อย่างเช่น บรรจุภัณฑ์ Optibreath สำหรับบรรจุผักและผลไม้สดซึ่งช่วยยืดอายุในการเก็บรักษาได้นานขึ้น จึงตอบโจทย์ทั้งด้านผู้ประกอบการที่สามารถเก็บรักษาสินค้าให้นาน ที่สำคัญ ยังเป็นการช่วยลดปริมาณขยะจากอาหารที่เน่าเสียอีกด้วย ในส่วนภาพรวมครึ่งปีแรกที่เกิดภาวะโรคระบาดใหญ่หรือ Pandemic จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลกนั้น SCGP ยังคงมีตัวเลขการเติบโตโดดเด่น จากแผนกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นแพคเกจจิ้งสำหรับ B2B2C ที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบรวมถึงพัฒนาโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านบรรจุภัณฑ์แก่ลูกค้าแบบเฉพาะรายและร่วมทำงานกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด จึงทำให้เกิดฐานลูกค้าที่แข็งแรงและได้รับคำสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และการขยายธุรกิจด้วยการควบรวมกิจการ (Merger & Partnership) โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 45,903 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 11 และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,636 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 40 ปัจจุบัน SCGP มีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเพื่อขยายกำลังการผลิตรวม 4 โรงงาน ในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซีย ด้วยเงินลงทุนประมาณ 8,200 ล้านบาท โดยจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2563-2564 และอยู่ระหว่างการเข้าซื้อกิจการโรงผลิตกล่องกระดาษลูกฟูกรายใหญ่ในประเทศเวียดนาม ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพให้ SCGP สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรของภูมิภาคอาเซียน และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น เร็ว ๆ นี้ SCGP เตรียมนำบริษัทฯ เข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,127,550,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.5 ของจํานวนหุ้นสามัญที่ออกและชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment) จำนวนไม่เกิน 169,130,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายทั้งหมดในครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจ ด้วยการขยายกำลังการผลิต (Organic) การควบรวมกิจการแบบ Merger & Partnership (Inorganic) ชำระคืนเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ โดยนักลงทุนที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หนังสือชี้ชวนในเว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. หรือเว็บไซต์ www.scgpackaging.com แหล่งข้อมูล (1) รายงานการวิจัยทางการตลาดแบบอิสระของ ฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน (2) ร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนฉบับเต็มของ SCGP ซึ่งได้ยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th

SCGP ผู้นำบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน

SCGP ผู้นำบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน มีหุ้นที่กำลังจะ IPO ตัวหนึ่งที่น่าสนใจ และนักลงทุนน่าจะอยากทำความรู้จักมากขึ้น ผมขออาสาพาไปรีวิวดูในภาพรวมทั้งหมดที่คุณควรจะรู้ก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะตอน IPO หรือหลังจากที่หุ้นเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วก็ตาม บริษัทนี้ก็คือ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งตัวย่อในตลาดที่เราจะเห็นกันก็คือ “SCGP” นะครับ มีอะไรบ้างที่คุณต้องรู้ เราไปดูกัน SCGP ทำธุรกิจอะไร? SCGP เป็นผู้ผลิตและให้บริการบรรจุภัณฑ์ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเอสซีจี (SCC) โดยดำเนินธุรกิจใน 5 ประเทศได้แก่ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย ประกอบด้วย 2 สายธุรกิจหลัก คือ สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) ซึ่งมี บรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ (Fiber-Based Packaging) กระดาษบรรจุภัณฑ์ (Packaging Paper) บรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ (Performance and Polymer Packaging) สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibrous Chain) คือ จำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับบรรจุอาหาร (Food Service Products) และผลิตภัณฑ์เยื่อและกระดาษ (Pulp and Paper Products) โดยสัดส่วนรายได้ของทั้ง 2 สายธุรกิจก็ตามนี้ครับ หมายเหตุ: คำนวณเป็นร้อยละของรายได้รวมจากการขายของบริษัทฯ ข้อมูลตามส่วนงานแต่ละส่วนของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรนำมาจากข้อมูลทางการเงินสำหรับผู้บริหารที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบหรือสอบทานจากผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ สุทธิจากการตัดรายการระหว่างสายธุรกิจ สายธุรกิจหลักอย่างบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรมีรายได้ที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่องซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่สายธุรกิจเยื่อและกระดาษมียอดขายที่ลดลงเนื่องจากความต้องการกระดาษพิมพ์เขียนลดลง ทำไม SCGP จึงเป็นธุรกิจดาวรุ่ง (Rising Star) ของ SCC และกำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายคนอาจจะทราบอยู่แล้วว่า SCC ประกอบไปด้วย 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจเคมิคอลส์, ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และสุดท้ายคือ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง หรือ SCGP นั่นเอง ซึ่งรายได้ของ SCGP เมื่อเทียบกับภาพรวมในเอสซีจีนั้นมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ประมาณร้อยละ 23 จากอัตราการเติบโตของยอดขายและกำไร ขอสรุปปัจจัยหลัก 4 ข้อคือ จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและการเติบโตของธุรกิจ E-commerce ในช่วงที่ผ่านมาทำให้บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตที่สูงและยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต 69% ของรายได้ SCGP ในครึ่งปีแรกของปี 2563 มาจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค เพราะฉะนั้น ธุรกิจของ SCGP จึงไม่ใช่แค่การจำหน่ายให้แก่ลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการหรือ B2B แต่ถือเป็นธุรกิจแบบ B2B2C ที่พัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานของผู้บริโภคด้วย SCGP เร่งการเติบโตให้แก่ธุรกิจโดยใช้กลยุทธ์การควบรวมกิจการและร่วมมือกับพันธมิตร (Merger & Partnership – M&P) วันนี้ SCGP คือบริษัทชั้นนำในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนอยู่แล้ว การเข้า IPO ก็ถือเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งเพื่อขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในข้อสามนี้น่าสนใจนะครับ เพราะจาก Track Record การเติบโตในอดีตของ SCGP จะพบว่า SCGP ขยายธุรกิจและเพิ่มการเติบโตผ่านกลยุทธ์ Merger and Partnership (M&P) ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เพื่อขยายกำลังการผลิตและเพิ่มความหลากหลายให้กับธุรกิจ โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา SCGP มีการลงทุน M&P มากถึง 18 โครงการ และในปี 2562 ปีเดียว SCGP ใช้เงินลงทุนในการ M&P 2 โครงการราว 2.5 หมื่นล้านบาท เพื่อเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้นำด้านกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย และผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์แบบคงรูปชั้นนำในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เพิ่มโอกาสการเติบโตทางธุรกิจได้ดีมากขึ้นไปอีก และจากกลยุทธ์เหล่านี้ทำให้ SCGP มีฐานการผลิตกว่า 40 โรงงาน ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย ซึ่งข้อมูลจาก Frost & Sullivan ระบุว่า SCGP เป็นผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์และเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน แสดงว่า SCGP ต้องการโตในต่างประเทศมากขึ้นใช่ไหม? ถ้าดูจากสัดส่วนรายได้แบ่งตามประเทศลูกค้า จะพบว่า ยอดขายเกินกว่า 50% ยังอยู่ในประเทศไทย (จากรูปด้านล่าง) โดยกลยุทธ์การเติบโตในระยะยาวของ SCGP ก็คือ นำรูปแบบธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยไปขยายในต่างประเทศ โดยใช้กระบวนการบูรณาการทั้งในแนวตั้งคือเพิ่มความแข็งแกร่งระหว่างปลายน้ำกับต้นน้ำ และแนวนอนคือการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการ เพื่อสร้างความใกล้ชิดระหว่าง SCGP กับลูกค้าและมีส่วนร่วมกับลูกค้าในด้านต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น SCGP ถือหุ้นโดย SCC เป็นส่วนใหญ่? ใช่ครับ รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ก่อนและหลังการ IPO ครั้งนี้ ก็ตามนี้เลย ซึ่งเมื่อดูจากตารางก็แปลว่า ก่อนหน้าการ IPO ครั้งนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็คือ SCC เกือบทั้งหมด โดย SCGP จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,127.55 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.5 ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment) จำนวนไม่เกิน 169.13 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายทั้งหมดในครั้งนี้ ทำให้สัดส่วนนักลงทุนที่เป็นประชาชนทั่วไปจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่สูงสุดไม่เกินร้อยละ 29.32 ภายใต้สมมติฐานว่ามีการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนส่วนเกินทั้งจำนวน จุดแข็งของ SCGP คืออะไร? จุดแข็งข้อแรกก็คือ การที่บริษัทมีฐานลูกค้าที่กว้างขวาง ในเกือบทุกอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากบริษัทต่าง ๆ ที่นับได้ว่าเป็น Big Player ในแต่ละอุตสาหกรรม โดย SCGP ทำหน้าที่เป็นคู่คิดที่ช่วยแก้ปัญหาและพัฒนาโซลูชันให้กับลูกค้า อย่างเช่น บรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว Optibreath ที่ช่วยยืดอายุสินค้าประเภทผักและผลไม้ ซึ่งแน่นอนว่า เมื่ออายุผลิตภัณฑ์หรือ Shelf life ยาวนานขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายให้แก่เจ้าของสินค้าด้วย พอไปดูยอดขายของบริษัทลูกค้าของ SCGP แต่ละราย ไม่ว่าจะอยู่ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ อีคอมเมิร์ซ และธุรกิจขนส่ง ก็พบว่ามีศักยภาพในการเติบโตและไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 มาก และหากมองภาพใหญ่ระดับโลกจะพบว่า ตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนยังมีพัฒนาการตามหลังประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้ว อย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเยอรมนี และสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเทศเหล่านี้มีอัตราการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ต่อประชากรสูงกว่าอาเซียนถึง 2-3 เท่า ดังนั้น ในภูมิภาคอาเซียนที่ตอนนี้มีประชากรเกือบ 650 ล้านคน จึงถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและโอกาสเติบโตได้อีกมากสำหรับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ อีกหนึ่งความแข็งแกร่งของ SCGP คือ การมีโรงงานฐานการผลิตกว่า 40 แห่งที่กระจายตัวอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย จึงมีข้อได้เปรียบเรื่องทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้ลูกค้า สามารถตอบโจทย์ทั้งลูกค้าในระดับท้องถิ่น ไปจนถึงบรรษัทข้ามชาติและผู้ประกอบการรายใหญ่ระดับภูมิภาคที่มีโรงงานผลิตอยู่ในภูมิภาคอาเซียน SCGP ระดมทุน IPO ครั้งนี้ เอาไปทำอะไร? SCGP แสดงวัตถุประสงค์ในเว็บไซต์ ก.ล.ต. ไว้ว่า เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายธุรกิจด้วยการขยายกำลังการผลิตของบริษัทฯ (Organic) และ/ หรือการควบรวมกิจการ (Inorganic) ซึ่งโครงการขยายกำลังการผลิตที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ มูลค่าการลงทุนรวม 8.2 พันล้านบาทและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 ก็มีตามนี้ครับ

บรรจุภัณฑ์ เฟสท์ ชิลล์ ทางเลือกที่ใช่ของฟู้ดเดลิเวอรี

ปัจจุบัน แพลตฟอร์มส่งอาหารมากมายเกิดขึ้นและได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความสะดวกสบายของการรับประทานอาหารที่บ้าน เพราะไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย จนอาจเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ แต่อย่างไรก็ดียังคงให้ความสำาคัญในเรื่องของความปลอดภัยและใส่ใจที่จะมีส่วนร่วมในเรื่องสิ่งแวดล้อม ในฐานะผู้นำทางด้านบรรจุภัณฑ์อาหาร เฟสท์จึงได้คิดค้นบรรจุภัณฑ์เฟสท์ ชิลล์ ที่ตอบโจทย์บริการเดลิเวอรี่ ที่ร้านอาหารและผู้ประกอบการมั่นใจได้ในความสะอาด ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตจากเยื่อยูคาลิปตัสจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์ มีการออกแบบโครงสร้างบรรจุภัณฑ์ให้มีความแข็งแรง ขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เคลือบด้วยฟิล์มที่สามารถบรรจุอาหารร้อนได้ถึง 130 องศาเซลเซียส และสามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรง ทั้งอาหารที่มีความร้อน มีน้ำและน้ำมัน และผ่านการทดสอบในเรื่องความสะอาดปลอดภัยอย่างเข้มงวดข้อสำคัญหลังจากการใช้งานยัง สามารถลอกฟิล์มเพื่อนำไปรีไซเคิล และบรรจุภัณฑ์สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติภายใน 60 วัน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่คำนึงถึงผลประโยชน์ทั้งต่อธุรกิจผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง สามารถแช่เย็นได้ที่อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส สามารถคัดแยกขยะได้สะดวก ด้วยการลอกแผ่นฟิล์มที่เคลือบด้านในออกจากตัวกล่อง สามารถอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟที่กำาลังไฟ800 วัตต์ ได้นาน 3 นาที ฟิล์มพลาสติกที่ลอกออกมาแล้วสามารถนำไปรีไซเคิลได้ ส่วนที่เหลือจะย่อยสลายได้ภายใน 60 วัน บรรจุภัณฑ์มีความแข็งแรงเหมาะสำาหรับการจัดส่งเดลิเวอรี บรรจุภัณฑ์เฟสท์ ชิลล์ มีวางจำาหน่ายที่ Fest Shop เอสซีจี สำานักงานใหญ่ บางซื่อ และ www.festforfood.com ติดตามรายละเอียดหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/fest LINE @festforfood หรือ Call Center 0-2586-1000

SCG Packaging ทรานสฟอร์มช้างตัวใหม่ ให้ก้าวไกลมากขึ้น

นอกจากการบริหารจัดการและบริการด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว ความสำเร็จตลอดหลายปีที่ผ่านมาของบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ยังมี “ทีมนักออกแบบบรรจุภัณฑ์” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่คอยสร้างสรรค์แพคเกจจิ้งจนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาโดยตลอด P-DNA ฉบับนี้ เราจึงชวนพวกเขามาร่วมพูดคุยถึงบทบาทหน้าที่ รวมถึงมุมมองต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ขององค์กร ในฐานะที่พวกเขาคือทีมเบื้องหลัง“ประติมากรรมช้าง” สัญลักษณ์ของการทรานสฟอร์มธุรกิจเอสซีจี แพคเกจจิ้ง เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรอย่างเต็มตัว มากกว่าการตอบโจทย์ลูกค้า คือการเป็นเพื่อนคู่คิด การออกแบบแพคเกจจิ้งต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์กับศิลปะ ภายในทีม Packaging Designer จึงต้องมีทั้ง Structural Designer ผู้ทำหน้าที่ออกแบบโครงสร้างและความแข็งแรงของบรรจุภัณฑ์ กับ Graphic Designer ผู้เติมแต่งหน้าตาบรรจุภัณฑ์ให้ออกมาสวยงามและน่าดึงดูด ซึ่งจะร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานที่ทั้งสวยงามและตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด ภายใต้แนวคิด Holistic Design หรือการออกแบบองค์รวม “งานที่ทีมนักออกแบบแพคเกจจิ้งทำเรียกว่าเป็น Packaging Solutions Provider อย่างแท้จริง เพราะแม้ว่าลูกค้าไม่มีไอเดียอะไรเลย เราก็จะคอยเป็นพาร์ตเนอร์ที่ร่วมคิดและช่วยแนะนำลูกค้าในทุกการแก้ ปัญหา งานของเราจึงไม่ใช่แค่การออกแบบแพคเกจจิ้งตามความต้องการของลูกค้า แต่ยังต้องคิดไปถึง Marketing Strategy ว่าแพคเกจจิ้งที่เราออกแบบจะช่วยเพิ่มยอดขายให้ลูกค้าได้อย่างไร โครงสร้างหรือกราฟิกแบบไหนที่จะทำให้แพคเกจจิ้งตอบโจทย์ทั้งการใช้งานและความสวยงาม “เมื่อทีมเราได้รับ Requirement จากลูกค้าแล้ว เราก็นำแนวคิด Design Thinking เข้ามาใช้ โดยเริ่มทำ รีเสิร์ชกันก่อน จากนั้นจึงนำไปออกแบบ จนได้ตัว Mockup ไปทดลองใช้จริง เพื่อจะรู้ว่างานที่เราทำตอบโจทย์ทั้งลูกค้าและผู้ใช้หรือไม่ ถ้าได้ผลลัพธ์ว่ายังไม่ตอบโจทย์ ก็ย้อนกลับไปหาทางแก้กันใหม่ “รวมถึงการมองภาพรวมด้วยว่า งานที่ผลิตออกไปนั้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ เพราะนักออกแบบมีหน้าที่คิดงานออกมาให้มีความ Circular สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างสมเหตุสมผล ไปกันได้กับกระบวนการผลิตที่เรามีและสามารถแนะนำสิ่งที่ดีกว่าให้ลูกค้าได้ด้วย” ช้างตัวใหม่กำลังก้าวเดิน นอกจากงานออกแบบแพคเกจจิ้ง ตราสินค้า และอัตลักษณ์องค์กร (Corporate Identity) ให้กับกลุ่มลูกค้า งานด้าน Exhibition Design ที่เน้นการใช้วัสดุกระดาษเป็นหลัก ถือเป็นอีกภารกิจที่ทีมนักออกแบบของ เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น Exhibition ในห้างสรรพสินค้า หรืองานแสดงสินค้าระดับชาติอย่าง THAIFEX หรือสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ “มีผลศึกษาบอกว่า ในไทยมีการจัด Exhibition เฉลี่ย 2,700 อีเว้นต์ต่อปี เติบโตอยู่ที่ 20% คิดเป็นมูลค่า15,000 ล้านบาท นับเป็นโอกาสที่ธุรกิจเราจะลงไปเป็นผู้เล่นในตลาดนี้ เพราะการที่วัสดุหลักของเราคือกระดาษก็มีข้อได้เปรียบที่ดีกว่าในด้านสิ่งแวดล้อม การรีไซเคิล น้ำหนักเบา การติดตั้งที่มีความปลอดภัย และปริมาณฝุ่นที่เกิดจากกระดาษก็น้อยกว่าวัสดุอื่นด้วย” งานแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำากัด (มหาชน) เตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นับเป็นงานสำาคัญที่ทีมนักออกแบบได้มีโอกาสร่วมกันสร้างสรรค์ประติมากรรม “ช้าง” สัญลักษณ์ที่จะจัดแสดงภายในงาน เพื่อสื่อสารถึงการทรานสฟอร์มองค์กรจากธุรกิจเดิม หนึ่งในทีมออกแบบด้านโครงสร้าง เล่าถึงไอเดียในการออกแบบประติมากรรมช้างให้ฟังว่า “ช้างสื่อความเป็นเอสซีจีอยู่แล้ว แต่เพื่อสื่อถึงความเป็นแพคเกจจิ้งให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจึงดีไซน์รูปทรงของช้างให้ออกเป็น Polygon คล้ายกับรูปแบบการพับกระดาษโอริกามิของญี่ปุ่นที่มีเสน่ห์และโดดเด่นในตัวเองเมื่อคนมองเห็นช้างตัวนี้ ก็จะรับรู้ได้ทันทีว่าทำมาจากกระดาษ ซึ่งสะท้อนตัวตนขององค์กรเราที่เติบโตมาจากธุรกิจนี้ “กระบวนการทำประติมากรรมช้างตัวนี้ เราเริ่มจากทำภาพสามมิติก่อน เมื่อปรับรูปแบบให้ตรงใจและตอบโจทย์แนวคิดในการทรานสฟอร์มองค์กรได้แล้ว จึงค่อยออกแบบโครงสร้าง ซึ่งมีข้อควรระวังหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นการรับแรง การประกอบให้แข็งแรง การขนส่ง เพราะช้างตัวจริงที่ใช้จัดแสดงมีขนาดใหญ่ถึง 5 เมตร แม้ว่าเราจะมีการทำโมเดลช้างขนาดเล็ก 20 เซนติเมตร สำาหรับทดลองประกอบขึ้นรูปมาก่อน แต่พอขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นกลับมีรายละเอียดที่ต้องใส่ใจแตกต่างกัน เช่น ช้างตัวเล็กใช้กระดาษที่พับเป็นชิ้นมาต่อกัน 10 กว่าชิ้น งานจะสวยเนี้ยบ องค์ประกอบไม่เยอะ แต่ช้างตัวใหญ่ใช้มากกว่าถึง 50 ชิ้น ทำให้เรากังวลว่าหน้าตาของช้างจะออกมาเป็นยังไง จะสวยอย่างที่คิดไว้ไหม ซึ่งงานด้านกราฟิกก็จะเข้ามาช่วยเสริมตรงจุดนั้น” ทีมออกแบบด้านกราฟิกเล่าต่อว่า “เพื่อตอกย้ำถึงการทรานสฟอร์มองค์กร เราจึงออกแบบช้างให้มี Key Visual ใหม่ที่เน้นสีสันสดใส สวยงาม และสื่อถึงความ Creative มากขึ้น โดยการทำภาพกราฟิกที่มีเหลี่ยมมุม มีมิติ พิมพ์ลงไปบนโครงสร้างกระดาษ ช่วยเสริมรายละเอียดชิ้นงานให้มีลักษณะของ Polygon และ โอริกามิได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อบอกว่าของเราคือช้างตัวใหม่ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าอย่างมั่นคง โดยสะท้อนผ่านโครงสร้างของประติมากรรมช้างที่ก้าวเท้าไปข้างหน้าเช่นกัน” ก่อนจากกัน ทีมนักออกแบบได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “เราเชื่อมั่นในพลังของทีมเวิร์กว่าสามารถช่วยขับเคลื่อนองค์กรได้ ตอนนี้เรากำาลังเปลี่ยนเพื่อก้าวไปเจอสิ่งใหม่ ๆ การปรับตัว ติดตาม เทรนด์โลกอยู่เสมอน่าจะช่วยให้ตัวเราและองค์กรพบโอกาสเติบโตได้ ดังนั้น การมองความเปลี่ยนแปลงปัจจุบันในแง่บวก มี Mindset แบบก้าวไปข้างหน้าจึงเป็นแนวทางการทำางานที่ดีที่สุดเพราะในอนาคต เราอาจไม่ได้ขายแค่แพคเกจจิ้งแบบเดิม แต่คงต้องมองไกลไปถึงบริการที่ครอบคลุมความต้องการของโลกยุคใหม่ด้วย” Sparkling Ideas “แรงบันดาลใจและไอเดียเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ผมจึงชอบการทำงานที่มีอิสระแบบคนรุ่นใหม่ ไม่ต้องจำกัดว่าเราควรทำงานที่ไหน ในช่วงเวลาใด เพราะบางครั้งเราก็ต้องการอารมณ์หรือสถานที่ดี ๆ เพื่อช่วยจุดประกายความคิด ซึ่งเอสซีจีเป็นองค์กรที่พร้อมเปิดโอกาสตรงนี้ให้เรา” ปอย – สุชาณัฐ ชิดไทย “แรงบันดาลใจของผมมาจากเพื่อนร่วมทีม งานบางอย่างถ้าเราคิดคนเดียวอาจไม่ตอบโจทย์ลูกค้าก็ได้ แต่การแชร์ไอเดียร่วมกับคนอื่น หรือทำงานออกมาแล้วมีคนช่วยคอมเมนต์ น่าจะทำให้งานของเราสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และหลายครั้งมุมมองของคนในทีมก็กลายเป็นพลังขับเคลื่อนไอเดียของผมได้ด้วย” เอก – สุริยา พิมพ์โคตร “เวลาเราเจอปัญหาในงานแล้วไม่สนุกกับมัน เรามักจะคิดถึงงานนั้นในแง่ลบแต่ถ้าเราสนุกไปกับปัญหา แรงบันดาลใจย่อมเกิดขึ้น และการแก้ปัญหาสำเร็จก็ไม่ได้หมายความว่าเราตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างเดียว แต่เรายังเอาชนะปัญหาของตัวเองได้ด้วย เมื่อพบปัญหาครั้งต่อไป เราจะมีความมั่นใจและพร้อมเผชิญหน้ากับมันมากขึ้น” แพ็ค – วันชนะ ศรีไตรรัตนา “ปัญหา เป้าหมาย และความคาดหวังที่เกิดจากงาน คือความท้าทายที่เราต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้ แต่ถ้าเราสามารถเปลี่ยนความท้าทายเหล่านั้นให้เป็นแรงบันดาลใจในการคิดงานได้ มันอาจช่วยผลักดันให้เรารู้สึกว่า งานที่เราทำคือความรับผิดชอบมันต้องออกมาดี สวยงาม ตอบโจทย์ลูกค้า และเราจะตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด” ติ๊ก – กฤชพร กูลรัตนรักษ์ “การรีเสิร์ชข้อมูลและการทำความเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า คือสิ่งแรกที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการคิดงานของเราได้ แล้วค่อยมองหา Reference อื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการมาช่วยเสริม ถ้าเหนื่อยก็ออกไปเที่ยวบ้าง คุยเล่นกับเพื่อนบ้าง แล้วค่อยกลับมาเขย่าไอเดียทั้งหมดให้มันออกมาเป็นงานที่เหมาะสมที่สุด” เอิร์น – ณิชารีย์ เหรียญทอง

บ้านโป่งโมเดลเราจัดการขยะทั่วทั้งอำเภอ

ที่นี่บ้านโป่ง นอกจากเป็นเมืองอุตสาหกรรมแล้ว อำเภอแห่งนี้คือจุดเชื่อมระหว่างภาคตะวันตกกับภาคกลาง ด้วยบริบท ที่กล่าวมาทำให้อำเภอบ้านโป่งมีปัญหาการจัดการขยะให้ต้องแก้ไข หากไม่มีการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ต้นทางแล้ว อนาคตข้างหน้าอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ “การจะเปลี่ยนมาจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง เราต้องเปลี่ยนทัศนคติ ต้องสร้างความรู้ สร้างการมีส่วนร่วมให้ชุมชน ซึ่งในขณะนั้นทางรัฐบาลก็ได้มีแผนปฏิบัติการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนลงมา โดยเน้นในเรื่องของ การจัดการขยะตั้งแต่ต้นทางพอดี เราเองก็อยากจะผลักดันในเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะจัดการขยะอย่างจริงจังในอำเภอบ้านโป่ง” ทศพล เผื่อนอุดม อดีตนายอำเภอบ้านโป่ง ผู้ให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด แต่การจะขับเคลื่อนเรื่องการจัดการขยะไปทั่วทั้งอำเภอ จนกระทั่งเกิดเป็น “บ้านโป่งโมเดล” นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย “เราคนเดียวทำไม่สำเร็จหรอก การที่บ้านโป่งโมเดลจะสำเร็จได้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน” ร่วมแรงร่วมใจ บ้านโป่งโมเดลเกิดจากความร่วมมือกันของทั้ง 3 ภาค ซึ่งทั้งหมดจะขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปไม่ได้เลยคือ ภาคราชการ ได้แก่ อำเภอบ้านโป่ง ท้องถิ่นอำเภอบ้านโป่ง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น กิ่งกาชาดอำเภอบ้านโป่ง ภาคเอกชน ได้แก่ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งมาช่วยในเรื่องการให้องค์ความรู้ในการจัดการขยะอย่างถูกต้อง รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนในเรื่องงบประมาณ สถานที่ และจัดกิจกรรมหลายสิ่ง หลายอย่าง ภาคประชาชน ได้แก่ ประชาชน รวมไปถึงสื่อในท้องถิ่น ชญานิน จำปาทอง ท้องถิ่นอำเภอบ้านโป่ง เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้โมเดลการจัดการขยะของอำเภอบ้านโป่งเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม แม้ทั้ง 3 ฝ่ายจะตกลงร่วมมือร่วมใจกันโดยมีเอสซีจี แพคเกจจิ้ง คอยจัดกิจกรรมและส่งเสริมในด้านองค์ความรู้ ทว่าสิ่งที่พวกเขายังขาดก็คือแบบอย่างของชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการจัดการขยะ “เราก็เลยถามทางท้องถิ่นอำเภอว่า ที่บ้านโป่งพอจะมีชุมชนที่เป็นปลอดขยะ (Zero Waste) ประเภทชุมชนขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นรางวัลระดับประเทศที่จัดโดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม “เมื่อเราลงไปดูบ้านรางพลับ เห็นว่าเขาทำจริงและมีการจัดการขยะที่ดีมากเราจึงนำบ้านรางพลับมาเป็นครู แล้วก็ให้ชุมชนที่สนใจมาเรียนรู้” ทางนายอำเภอยังกระตุ้นให้เกิดความเอาจริงเอาจังด้วยการจัดโครงการประกวด “ชุมชน Like (ไร้) ขยะอำเภอบ้านโป่ง” ขึ้น โดยการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้ง 17 แห่ง คัดเลือกชุมชนหรือหมู่บ้านที่อยู่ในการปกครองของตนเองมาอปท.ละ 1 แห่ง ซึ่งทั้ง 17 ชุมชนที่เป็นตัวแทนต้องไปดูงานที่บ้านรางพลับแล้วก็นำมาถอดบทเรียนจัดการขยะในชุมชนของตนเป็นระยะเวลา 4 เดือน ใครที่มีการจัดการขยะที่ดีที่สุดก็จะได้รับรางวัลชนะเลิศไป จากที่เคยมีบ้านรางพลับเป็นชุมชนต้นแบบในการจัดการขยะ อำเภอบ้านโป่งก็จะมีชุมชนที่เป็นต้นแบบขึ้นมาอีก 17 ชุมชน ซึ่งในการดำเนินงานครั้งต่อไป ทีมงานบ้านโป่งโมเดลคาดว่าจะเพิ่มชุมชนต้นแบบ ให้เข้มข้นด้วย แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมสร้างแรงกระเพื่อมและเป็นกระแสไปทั่วทั้งอำเภอ นี่คือจุดหมายที่แท้จริงของ “บ้านโป่งโมเดล” ล้อมกรอบ สหรัฐ พัฒนวิบูลย์ ผู้อำานวยการโรงงานบ้านโป่ง บริษัทสยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำากัด กล่าวว่า “เอสซีจียินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างชุมชนต้นแบบที่มีการจัดการขยะและให้เป็นจุดเริ่มของการขยายผลไปสู่ ทุกชุมชนในอำาเภอบ้านโป่ง โดยร่วมอบรมและส่งทีมงานไปช่วยในแต่ละพื้นที่ในเรื่องการคัดแยกขยะ เพื่อหมุนเวียนกลับมาเป็นทรัพยากรใช้ใหม่อย่างคุ้มค่า ซึ่งการดำาเนินโครงการในปี 2562 สำเร็จไปได้ด้วยดี เรายังคงให้ความร่วมมือในการขยายผลชุมชนต้นแบบให้ครบทุกชุมชนในบ้านโป่งต่อไป”

ฮั่วเซ่งฮง 40 ปี มีแต่ก้าวไปข้างหน้า

จากธุรกิจครอบครัวที่ริเริ่มจากร้านอาหารจีนบนถนนเยาวราช ความพิถีพิถันในรสชาติและคุณภาพวัตถุดิบได้ถูกผสมผสานกับแนวคิดการบริหารที่ทุกคนให้ความสำคัญ ทำให้ทุกวันนี้ ฮั่วเซ่งฮงเป็นชื่อที่ได้รับความไว้วางใจและถูกคิดถึงเป็นร้านแรก ๆ เมื่อมองหาอาหารจีน การเริ่มต้นกิจการโดยคุณพ่อมานพ พิริยเลิศศักดิ์ เมื่อประมาณ 40 ปีก่อน เปรียบดั่งรากฐานอันมั่นคงจนเป็นที่ยอมรับ กระทั่งทุกวันนี้ คุณพิสิทธิ์ พิริยเลิศศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ จำกัด นักบริหารเจเนอเรชั่นที่ 3 ได้นำเอาความไว้วางใจที่มีมาต่อยอดแตกไลน์ธุรกิจ “ฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ” ด้วยสะดวกและเข้าถึงลูกค้าทำให้ฮั่วเซ่งฮงติ่มซำเป็นร้านที่คนรักคุณภาพและความอร่อยไม่อยากปฏิเสธ วันนี้เรามาลองฟังเรื่องราวประสบการณ์การต่อยอดธุรกิจใน Lift Up Your Voice ฉบับนี้ หลักคิด “ฮั่ว – เซ่ง – ฮง” คุณพิสิทธิ์เล่าถึงคำว่า “ฮั่ว – เซ่ง – ฮง” คำสามคำที่มีความหมายว่าสามัคคี รุ่งเรือง เฟื่องฟู ซึ่งสามคำนี้ไม่ได้เป็นเพียงชื่อร้านที่ฟังติดหูแต่ยังแฝงด้วยความหมายอันเป็นปรัชญาการดำเนินธุรกิจของภัตตาคารจีนแห่งนี้อีกด้วย “ความสามัคคีนั้น เราสามัคคีกันทั้งในครอบครัวและการทำงาน เมื่อเราสามัคคีกันได้ ก็จะนำมาซึ่งความรุ่งเรืองและเฟื่องฟูทุกวันนี้พวกเราให้ความสำคัญกับการรักษาชื่อเสียงที่คุณพ่อสร้างมาเป็นอย่างมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับการบริหารธุรกิจในยุคสมัยใหม่ที่เราเอาเข้ามาใช้ เพราะหากพนักงานทำงานร่วมกันอย่างสุจริต ด้วยความสามัคคี มีเป้าหมายเดียวกันได้แล้ว ทุกคนก็จะสามารถรุ่งเรืองและเฟื่องฟูไปด้วยกันได้” ขยายช่องทางเพื่อเสิร์ฟคุณภาพและความอร่อย นอกจากเรื่องการร่วมมือกันทำงานแล้ว ความสำเร็จของฮั่วเซ่งฮงติ่มซำยังเกิดจากการมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยทั้งหมดนั้นตั้งอยู่บนมาตรฐานของอาหารคุณภาพดี เพื่อให้ชื่อเสียงที่สร้างมากว่า 40 ปี กลายเป็นความไว้วางใจสำหรับลูกค้า “สิ่งที่ถือเป็นจุดเด่นของเราสำหรับในแง่ของแบรนด์นั้นฮั่วเซ่งฮงติ่มซำถูกสร้างขึ้นโดยคนเจเนอเรชั่นใหม่ ส่วนเมนูอาหารเราคิดขึ้นบนพื้นฐานของคุณภาพมาแต่เดิม เราไม่ใช้สารกันบูด ลูกค้าสามารถไว้ใจได้ว่าสินค้าของเราดีต่อสุขภาพ เราไม่ได้เน้นการประหยัดต้นทุนเรื่องวัตถุดิบ ทุกเมนูของร้านเรายังเป็น Freshly Cook อยู่ทั้งภัตตาคารฮั่วเซ่งฮงและฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ ทุกเมนูต้องปรุงสดด้วยเครื่องปรุงที่เป็นของแท้จากธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีไขมันทรานส์ ซอส ซีอิ๊วต่าง ๆ คือของจริง อาหารของเราสำคัญที่ความอร่อย ถ้าไม่มีจุดนี้เราจะขายตัวเองไม่ได้ เราใช้ความอร่อยเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้มากขึ้นในราคาที่สมเหตุสมผล ทุกวันนี้ซาลาเปาไส้ต่าง ๆ ของเราใช้วัตถุดิบชั้นดี และขายในราคา 22 บาทเท่านั้น “ส่วนแผนการตลาด ปัจจุบันนี้เราต้องขยายการโฆษณาเข้ามาในสื่อออนไลน์มากขึ้น มีการออกสินค้าตัวใหม่ ๆ ให้ทันยุคทันสมัยเหมาะกับคนรุ่นใหม่มากขึ้น เช่น ซาลาเปาชาไทย ซาลาเปาลาวาซาลาเปาทุเรียน เป็นต้น เทรนด์ของคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้พวกเขาจะเน้นที่ตัวสินค้าที่รับประทานแล้วมีสุขภาพดี ซึ่งตรงกับ Value ของฮั่วเซ่งฮงติ่มซำอยู่แล้ว “ท่ามกลางเศรษฐกิจปัจจุบันเราก็อยู่นิ่งไม่ได้ หนึ่งในกลยุทธ์คือ การกระจายสาขาเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าเราได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้น เช่น ในโรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน หรือแม้กระทั่งบนสถานี BTS คือเราพยายามจะ Integrate เอาฮั่วเซ่งฮงติ่มซำไปในที่ที่ลูกค้าสะดวกให้มากที่สุด รวมถึงการจับมือร่วมกับ ปตท. เปิดฮั่วเซ่งฮงติ่มซำในปั๊มน้ำมันของ ปตท. เพื่อให้กลุ่มลูกค้าที่เดินทางบ่อยสามารถเข้าถึงง่าย ณ ตอนนี้ก็เปิดไปราว ๆ 80 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนั้นเรายังร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ทั้ง GET, Grab, LINE MAN, Foodpanda สำหรับลูกค้าที่ต้องการความสะดวกในการรับประทานอาหารร่วมกันที่บ้าน ก็สามารถสั่งจากเราผ่านช่องทางเหล่านี้ได้อีกด้วย” พันธมิตรที่ดีควรตอบโจทย์ธุรกิจได้ครบทุกด้าน สำหรับฮั่วเซ่งฮงติ่มซำที่คุณภาพต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง อาหารที่สร้างสรรค์ขึ้นจากวัตถุดิบสุดพิถีพิถัน จะไม่สามารถไปถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัยได้ หากไม่มีแพคเกจจิ้งที่มีคุณภาพ ซึ่งคุณพิสิทธิ์เผยว่า เหตุผลสำคัญที่เลือกบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยเฟสท์ ในเอสซีจี แพคเกจจิ้ง เป็นพันธมิตรคือ ความมั่นใจ “ทางเรามั่นใจในผลิตภัณฑ์ของเอสซีจีมาก เพราะชื่อเสียงที่มีมายาวนาน สำหรับเราความไว้วางใจคือ สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อลูกค้ารู้ว่าเราใช้ผลิตภัณฑ์ของเอสซีจี เขาก็มีความไว้วางใจเรามากขึ้นไปอีก ซึ่งตรงกับแนวทางการสร้างผลิตภัณฑ์ของเรา ที่ต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าให้สมกับที่เขาไว้วางใจเรา “ขณะเดียวกันทีมงานของเอสซีจีก็มี Relationship ที่ดีกับเรามาก คุณภาพผลิตภัณฑ์ของเอสซีจียังมีมาตรฐานที่สม่ำเสมอ คงทน รักษาคุณภาพได้ดีมาก ลูกค้าของเราจึงวางใจได้ว่า บรรจุภัณฑ์เฟสท์ของ เอสซีจี ทุกส่วนประกอบจะเป็นฟู้ดเกรดที่ทั้งสะอาด ปลอดภัย และสามารถสัมผัสกับอาหารของฮั่วเซ่งฮงได้โดยตรง “นอกจากชื่อเสียงแล้ว เราชอบในนวัตกรรมการใช้กระดาษจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์มาทดแทน งานดูแลชุมชนและสังคมต่าง ๆ ที่เอสซีจีทำอยู่ก็เป็นจุดที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า เอสซีจีเหมาะสมที่สุดที่จะใช้เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับอาหารของเรา” ในอนาคตต่อจากนี้ ผู้บริหารฮั่วเซ่งฮงยังคงมองหาไอเดียใหม่ ๆ ที่จะร่วมมือกับเอสซีจี แพคเกจจิ้ง ทั้งบรรจุภัณฑ์รูปแบบอื่น เช่น กล่องทรงปิ่นโตที่สร้างอารมณ์ในการกลับไปสู่การรับประทานอาหาร แบบ Traditional หรือแพจเกจจิ้งที่สามารถใช้นึ่งอาหารได้โดยไม่ต้องฉีกซอง ตลอดจนแพคเกจจิ้งอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้การแข่งขันในธุรกิจ พร้อมทั้งสามารถส่งเมนูคุณภาพเยี่ยมไปสู่นักชิม ทั่วประเทศต่อไป

SCGP x Origin Materials to Mutually Develop World-Class Innovation ‘Bio-based Plastic from Eucalyptus Woodchip’ Transforming Renewable Plants into Bio-PET Plastic, Addressing Sustainability Challenges

SCGP has entered into a joint development agreement with Origin Materials to develop a world-class innovation, “Bio-based Plastic from Eucalyptus Woodchip” with advanced technology to convert Eucalyptus woodchip, a renewable economical crop into Bio-based PTA (“Bio-Purified terephthalic acid”) and further to Bio-PET (“Bio-Polyethylene terephthalate”) production. This partnership aims to be a solution for surging needs for sustainable packaging with possible multiple applications across various industries.  Mr. Wichan Jitpukdee, Chief Executive Officer, SCG Packaging Public Company Limited, or SCGP, announced that SCGP and Origin Materials, a leading NASDAQ-listed technology company in the United States, have entered into a joint development agreement (JDA) to collaboratively develop “Bio-based plastic from Eucalyptus Woodchip.” This world-class innovation utilizes advanced technology to transform Eucalyptus woodchip into Bio-PET, one of the raw materials for SCGP’s packaging production processes. This project will strengthen SCGP’s value-accretive vertical integration along the supply chain, extending it to the production of packaging and other products, including beverage packaging, food packaging, textile & fabrics while also addressing sustainability concerns for the environment. This collaboration brings together the expertise of both companies including SCGP’s extensive experience in researching and developing on Eucalyptus with innovation to optimize the utilization of natural resources and Origin Materials knowhow as the world’s leading carbon negative materials company that continuously develops technology to reduce carbon dioxide emissions. Together, both companies have conducted the experiments using Eucalyptus woodchip, which are subjected to chemical processes with catalysts, employing an efficient proprietary technology to produce intermediates used to make Bio-based PTA and Hydrothermal Carbon (HTC) and further exploration toward Bio-based PTA along with Bio-PET manufacturing. Bio-PET is the material that exhibits properties identical to petroleum-derived PET, making it easily recyclable and compatible with conventional PET recycling process. Meanwhile, HTC will be further explored for the application in biofuels, automotive industry. “SCGP and Origin Materials have collaboratively experimented with the production of intermediates from Eucalyptus woodchip for the initial production of Bio-PET. We have found that these Eucalyptus-derived intermediates are of high quality. As a result, we plan to collaboratively develop this innovation to achieve commercial viability, contributing to environmental protection and sustainability while meeting the market demand for eco-friendly plastics,” said Wichan. John Bissell, Co-Founder and Co-CEO of Origin Materials, the world’s leading carbon negative materials company, founded the company over a decade ago with a mission to enable the world’s transition to sustainable materials and help reduce carbon dioxide emissions.  “Origin Materials is delighted about this partnership with SCGP. This collaboration adds value and creates additional benefits from renewable plant-based raw materials in a region with abundant resources. We are excited to jointly implement strategic actions with SCGP and to develop innovations that will help transition the world towards using sustainable raw materials,” said John.  

Green Read by SCGP joins forces to create a sustainable reading society by supporting the 51st National Book Fair

Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn presided over the opening ceremony of the 51st National Book Fair and the 21th International Book Fair held under the concept “Bookfluencer: Leadership Reading” at Queen Sirikit National Convention Center from March 30 to April 9, 2023. For this Fair, SCGP, led by Mr. Suchai Korprasertsri, Chief Operating Officer – Fibrous Business, joinly supported and received a plaque of honor as a sponsor of the event and together with Miss Sukanya Benyadilok, Marketing Division Director, offered a souvenir. In addition, Green Read by SCGP, an innovative eye-care paper for readers  with publisher partners and Green Read dealers set up booths at the event, along with book cover activities and Green Read Collector’s Book for regular readers. When buying a book using Green Read paper at the event and collecting points at the booth redeem many rewards. These were to encourage everyone to be a reading leader and contribute to the creation of a sustainable reading society.

Marketing Compass 2023 – 3 Dimensions, 3 Trends, 3 Technologies & 3 Marketing Components in Focus

Marketing Compass 2023 3 Dimensions, 3 Trends, 3 Technologies & 3 Marketing Components in Focus   On 2023 forecasts, Asst. Prof. Dr. Ake Pattaratanakun has prepared a summary of the Marketing Association of Thailand’s predictions. The summary not only reflects what 156 distinguished executives and academics think will be coming, but it also offers guidelines about what brands should do.   MUST-WATCH: 3 TRENDS, 3 DIMENSIONS & 3 TECHNOLOGIES Thai economy is expected to grow by 5 percent. In the economic field, businesses will have to focus on 1) Fast-changing consumer behaviors; 2) Global economic meltdown; and 3) Evolving digital technologies.    Consumers, meanwhile, will look for 1) Quality; 2) Trialability, which means brands can experiment with various new things. After COVID-19 crisis forced consumers to do what they never did before like ordering food deliveries and making e-payments, consumers will be keen to try something new; and 3) Traceability, which shows products’ carbon footprint and put all companies in supply chains in check. Consumers will want to find out if brands they are supporting are socially and environmentally responsible.   Business owners should allocate 5 – 10 percent of their budget to marketing. Investments should go to 1) Commerce platforms; 2) Content and 3) Payment systems that are convenient and smoothly linked to selling platforms. For example, businesses should integrate popular e-Wallets.   As artificial intelligence (AI) is set to play a big role in marketing arena, companies should be able to lower their marketing costs. Internet of Things (IoT), meanwhile, will enable the storage of big data. Biotechnology also will have crucial importance. All brands thus should urgently study these three technologies and leverage them for business advantages.   BANI WORLD: NEW LESSON FOR EXECUTIVES TO LEARN & ADJUST FAST As BANI World is materializing, all companies and their executives must prepare themselves for the followings:   B – Brittle: Business models may collapse real fast. So, entrepreneurs should not be too confident about any particular model. It is best to diversify businesses and risks.   A – Anxious: Stop wondering when anxiety will be gone. Just think that it is normal to feel anxious. You only have to learn more and accept the fact that there is no certainty in the business realm anymore.   N – Nonlinear: Companies do not need long-term plans like those for three- or five-year period these days, because they should engage in Experimenting rather than Planning. If they are interested in an idea, act on it fast at a small scale. If any problem emerges, solve it one by one. The world is now changing so fast that planning may mean you end up doing nothing.   I – Incomprehensible: Because things will be hard to fathom, you only have to be ready to make decisions and tackle things you have never experienced before. In the coming year, problem-solving skills will be.   2023 IS YEAR OF 3P MARKETING MIX   P1. Personalized Marketing – Customers have different needs even when they are in the same industry. So, it is best to appeal to them with Personalized Marketing that becomes increasingly cheaper thanks to increasingly advanced technology. By now, companies must have already familiarized themselves with CRM (Customer Relationship Management) and CEM (Customer Experience Management) systems, which can generate income just like production machines. The more one invests efficiently in these systems, the greater value one can generate for customers.   P2. Precision Marketing – In the past, Mass Marketing had been the norm with ads placed in magazines or TV. Today, Precision Marketing proves better. It is like a sniper who can efficiently reach out to a target thanks to support from Facebook & Google AI. Use such marketing to avoid paying hefty mass-marketing fees.   P3. Performance Marketing – Creating a good brand image alone is out. Technologies have already enabled brands to evaluate the efficiency of marketing budget spent based on purchases / repeated purchases. So, you should focus on performance marketing instead.   source: https://www.scgpackaging.com/th/alotNewsletter  

The Investor Club Association visits Duy Tan Plastic Company

On March 24th, 2023, The Investor Club Association under Thailand Board of Investment (BOI) visited Duy Tan Plastic Company (Long An Factory). Duy Tan Plastic Company (Duy Tan Long An Factory) is honored to become the meeting hub for information sharing between Thai and foreign investors. This is considered a good opportunity for both parties to update their knowledge about plastic production processes, machinery, raw materials, etc. In addition, in this visit, Duy Tan is also very pleased to welcome members from the SCG Group in Thailand. During the visit, Duy Tan had the chance to greet and invite the visitors to the factory, PET workshop, Injection workshop, warehouse, and showroom in Long An to introduce the production process from preparation to production and finished goods.  Besides, the experts also had a meeting with Duy Tan’s Board of Directors to share about the economic and investment situation in Vietnam, Thailand, the world in general, especially the exchange of information on investment priorities between Thailand and Vietnam. Topics such as: applying knowledge and information to improve the services of the IC and BOI, building networks with related organizations in Vietnam, researching and monitoring innovations, new technologies, etc. were also discussed during the meeting.   Duy Tan Long An is the largest factory of Duy Tan Plastic with an area of up to 181,000 m2. Towards green and environmentally friendly production, in 2020, the factory put into operation a solar energy system to replace the grid electricity to serve the production process and will release the full capacity of the electricity investment projects in the future to ensure safe and continuous electricity supply. As of 2023, Duy Tan Plastic has gone through 36 years of development, continuously achieving the High-Quality Vietnamese Goods title voted by consumers for 27 consecutive years and receiving many awards and sustainable development certifications such as ISCC Plus. With the vision of becoming the leading plastic manufacturer in ASEAN, in 2021, Duy Tan Plastic signed a strategic cooperation agreement and merged 70% with SCGP – a company belonging to the SCG Group from Thailand. In addition to consistently applying creativity and innovation to develop high-quality products with the best possible functionality and aesthetic appeal, Duy Tan Plastic also builds its connections, absorbs knowledge from foreign experts, and keeps up with the most recent technological advancements in order to maintain the supply chain, enhance the production process, and develop a contemporary, environmentally friendly production process. Note: THAILAND BOARD OF INVESTMENT (BOI) – Website: https://www.boi.go.th/