หลายคนมักใช้ช่วงปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม การใช้ชีวิต แนวคิดในการทำงาน เพื่อพัฒนาตัวเอง P-DNA ฉบับนี้ จึงขอใช้โอกาสนี้ชักชวนพี่ตือ – สมภพ วิทย์วรสกุล Chief Regional Officer, SCOP และ General Director – Vina Kraft Paper Company Limited ประเทศเวียดนาม มาบอกเล่าประสบการณ์จากการทำงานที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงแนวคิดและแง่มุมดี ๆ เพื่อจุดประกายความคิดให้ใครหลายคนในโมเมนต์แห่งการเริ่มต้นปีใหม่นี้
วิศวกรผู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์อันหลากหลาย
ย้อนไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว พี่ตือเริ่มงานกับ SCGP ด้วยบทบาทวิศวกร ที่บริษัทสยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำกัด โรงงานบ้านโป่ง โดยหมุนเวียนเปลี่ยนงานในด้านการผลิตมาแล้วแทบทุกส่วน
“พี่เข้ามาเป็นวิศวกรอยู่ในงานผลิต ส่งเสริมการผลิต รวมไปถึงงานซ่อมบำรุง ช่วงนั้นบริษัทฯ ขยายตัว มีงานต่าง ๆ ให้ลองทำค่อนข้างเยอะได้โยกย้ายไปตามส่วนต่าง ๆ ทั้งโรงงานบ้านโป่งและวังศาลา เวลาพี่ ๆ มาถามว่าลองไหม พี่ลองทำหมด เลยได้ทักษะค่อนข้างหลากหลาย และกลายเป็นคลังความรู้ที่เราเก็บสะสมเอาไว้
“หลังจากนั้นก็ได้ทุนไปเรียนต่อด้านเยื่อและกระดาษที่สหรัฐอเมริกา เป็นช่วงที่เราได้เห็นโลกมากขึ้น ได้เรียนรู้เทคโนโลยี ได้ใช้ภาษาอังกฤษ พอกลับเมืองไทยก็ถูกส่งไปประจำที่ประเทศฟิลิปปินส์ 3 ปี ก็กลับมาไทย มาอยู่ที่ส่วนงานวิศวกรรม ซึ่งเป็นช่วงจังหวะชีวิตที่นานที่สุด ถือเป็นข้อดีที่ทำให้เราได้เห็นภาพธุรกิจของ SCGP ทั้งหมด จนกระทั่งปัจจุบันย้ายไปประจำที่เวียดนาม ซึ่งเป็นงานที่ต้องดูทั้งหมด รวมถึงงานการตลาดและการขายด้วย นับว่าท้าทายที่เดียว”
ตอบโจทย์ลูกค้าด้วยการทำงานแบบ Dynamic
บทบาทใหม่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องท้าทาย เมื่อคนทำงานสายวิศวกรรมต้องเพิ่มทักษะเรื่องการให้บริการลูกค้ามากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงและตอบโจทย์ลูกค้าหรือผู้บริโภค แต่สำหรับพี่ตือ ประสบการณ์จากเส้นทางที่ผ่านมาช่วยให้เขามีมุมมองที่น่าสนใจและใช้ประโยชน์ได้ไม่รู้จบ
“ทักษะและความเชี่ยวชาญในโรงงาน เราทำมาครบหมด ส่วนเรื่องความเข้าใจและใส่ใจลูกค้าก็ฝึกจากงานภายในบริษัทที่ผ่านมา เพราะไม่ว่าจะเป็นงานวิศวกรที่ทำงานแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรืองานวิศวกรรมที่สร้งสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอด พี่มองว่าทุกหน่วยงานที่เราทำงานด้วยคือลูกค้า เป็นการฝึกให้เรารับมือกับลูกค้าในเรื่องการให้บริการได้เป็นอย่างดี เพราะเขาจะสะท้อนกลับอย่างตรงไปตรงมา บางครั้งลูกค้าภายในโหดกว่าลูกค้าภายนอกอีก แต่ก็ทำให้เราได้รับ feedback ที่ดีมาก เพราะว่าเขารู้ลึกกว่า
“อีกเรื่องหนึ่งที่พี่ได้เรียนรู้จากลูกค้าภายในคือ ความ dynamic เพราะเขาต้องการความก้าวหน้า ถ้าเรามีนวัตกรรมสินค้าและบริการที่ดี เพิ่มมูลค่าสินค้าตอบโจทย์เขาได้ เขาก็พร้อมจะรับ เป็นพาร์ตเนอร์ที่โตไปด้วยกัน คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงจากลูกค้าภายในเอาไปปรับใช้กับลูกค้าภายนอกได้”
“ลองดู” จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ
ปัจจุบันลูกค้าต้องการสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ การคิดค้นอย่างสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อน SCGP สำหรับผู้บริหารอย่างพี่ตือ ในวันนี้อาจไม่ได้ลงมือทำเองทุกขั้นตอน แต่ยังคงนำทีมให้เดินหน้าไปได้ภายใต้แนวคิดรูปแบบการทำงานที่ไม่หยุดนิ่ง และพร้อมที่จะทดลอง เรียนรู้ตลอดเวลา
“เราต้องพยายามคิดสิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา สำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ต้องคิดให้ตกผลึก ต้องทดลอง พลาดไปบ้างก็ไม่เป็นไร มันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นครั้งหนึ่งเราเคยผลิตสินค้าแล้วล้มเหลว แต่เมื่อเวลาผ่านไปตลาดพลิกกลับมา กลายเป็นสินค้าที่มียอดขายอันดับหนึ่ง หรือตอนที่ตัดสินใจทำ solar roof เราก็ติดต่อไปยังสถานที่ราชการต่าง ๆ ให้มาร่วมพัฒนาด้วยกัน เวลาเขามีไอเดียใหม่ ๆ เราก็ลองดู จนมันสามารถสร้างประโยชน์ให้กับบริษัท พี่ชอบคำว่า ‘ลองดู’ นะ คำนี้ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ ๆ ขึ้นมาได้
“พี่ชอบเรื่อง sense of accomplishment ด้วย สมมุติว่าสินค้าไหนทำได้สำเร็จ พี่จะบอกกับน้อง ๆ ว่า มันสำเร็จแล้ว เป็น small win ดีใจด้วยกัน ทำให้คนรู้สึกกล้าที่จะลองทำ ถ้ามันยังขายไม่ได้ก็เก็บไว้ก่อน พี่ว่าการยอมรับกับสิ่งที่ทำขึ้นใหม่เป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องวัดความสำเร็จจากการขาย ได้เงินแล้วถึงมาชื่นชม แต่ดูว่าเราได้อะไรบ้าง จากสิ่งที่ทำออกมาแล้วมากกว่า พี่ว่าทุกคนจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองและกล้าที่จะทดลองต่อไป”
ยิ่งไปกว่านั้น ความท้าทายในฐานะผู้บริหารยังมีเรื่องของการจัดการความหลากหลาย ทั้งด้านวัยและวัฒนธรรมที่แตกต่าง พี่ตือเล่าว่า แม้จะไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด ก็ต้องเปิดใจเรื่องความต่างและหาวิธีเชื่อมโยงถึงกัน
“พี่ว่าเราใช้เครื่องมือที่มีอยู่รอบตัว บริหารจัดการเรื่องความต่างระหว่างวัยได้ เพราะเราไปทำตัวเป็นเด็กเหมือนเขาไม่ได้ ก็ดูว่าใครจะช่วยประสานหรือเข้าถึงเขาได้ ส่วนในเรื่องวัฒนธรรม อาจเป็นความโชคดี SCGP เราเริ่มจาก regional ก่อน ซึ่งพี่คิดว่า วัฒนธรรมไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เราต้องมองว่าทุกคนคือบริษัทเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ไม่น่าใช่เรื่องยากครับ”
เรียนรู้ไม่สิ้นสุด และมุ่งสร้างสิ่งดีเพื่อสังคม
ในช่วงท้ายพี่ตือฝากว่า จงสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง หากเปรียบเป็นก้อนหิน หน้าที่ของทุกคนคือ การเจียระไนตัวเองให้มีเหลี่ยมมุมที่สวยงามขึ้น อาจจะเหนื่อยและต้องใช้เวลา แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกคนจะเป็นเพชรที่งดงาม
“เราอยู่ในองค์กรใหญ่ที่มีคนเก่ง ๆ เยอะ เวลาเจอเรื่องที่ไม่เคยเจอ ลองหาคนที่รู้และขอความรู้จากเขา นอกจากจะได้งานแล้ว ยังทำให้เกิดการ collaboration ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และสามารถนำไปใช้ข้างนอกองค์กรได้ด้วย
“ในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม อย่ามองแค่การก่ออิฐ แต่ให้มองเป็นการสร้างโบสถ์ เพราะสิ่งที่ SCGP ทำคือการสร้างสิ่งดี เราต้องเดินหน้าทำสิ่งที่ดีกว่าเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี บางโครงการถ้าเราทำสำเร็จ มันจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรได้มาก หรือว่าสร้างคุณค่าให้กับโลกได้มากขึ้น พี่ว่าวิธีนี้จะทำให้เราเห็นคุณค่า รู้สึกภูมิใจและชื่นชมกับสิ่งที่เราทำมากขึ้น”