บทสัมภาษณ์ที่คุณกำลังจะได้อ่านจะทำให้คุณรู้จักดร.จาชซัว แพส Global Foodservice Packaging Head, SCGP ผู้บริหารรุ่นใหม่มากความสามารถคนนี้ดียิ่งขึ้น เพราะทั้งประสบการณ์ แนวคิดในการทำงานรวมถึงมุมมองการใช้ชีวิตที่ถูกสะท้อนผ่านทุกตัวอักษรในทุกบรรกัดต่อจากนี้ เราบอกเลยว่า “ไม่ธรรมดา” ยิ่งถ้าได้ลองเอาแนวคิดต่าง ๆ ไปปรับใช้ แม้ผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลงจะน้อยนิดเพียงแค่วันละ1 เปอร์เซ็นต์ แต่ด้วยตัวเลขเท่านี้นี่แหละ ก็ช่วยให้ชีวิตพัฒนาขึ้นอย่าง So Excited แล้ว!
ลงทุนในประสบการณ์
พี่จาชเริ่มต้นเล่าย้อนกลับไปสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัยว่าด้วยความที่เติบโตและใช้ชีวิตที่ต่างประเทศวัฒนธรรม การเรียนหนังสือคู่ขนานไปกับการทำงานจึงเป็นวิถีปกติ ก่อนจะเริ่มต้นทำงานบริษัทในเวลาต่อมา
หนึ่งในสองบริษัทที่พี่จาชเคยทำงานและอดเล่าให้ฟังไม่ได้คือ บริษัทเครื่องเสียงระดับโลกอย่าง Bose Corporation ที่บอสตัน สหรัฐอเมริกา ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาได้ทำงานครบทุกขั้นตอน ตั้งแต่งานดีไซน์ไปจนถึงงานผลิต ส่วนอีกหนึ่งบริษัทที่คงไม่พูดถึงไม่ได้ คือ Intel แห่งซิลิคอนวัลเลย์ ที่นี่เขาได้ฝึกฝนการวิเคราะห์ด้าน Data Analytics และกลยุทธ์ด้าน Supply Chain อย่างเต็มขั้น ก่อนจะบินลัดฟ้ากลับมาที่ประเทศไทยหลังจากการทำงาน 16 ปี ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อเริ่มต้นทำงานที่เอสซีจีในปี 2013 ด้วยประสบการณ์เต็มถัง
“มาถึงพี่ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่อง Digital Transformation พี่เลยมีโอกาสได้ร่วมก่อตั้งและรับหน้าที่ CDO (Chief Digital Officer) แต่ที่คุ้นหูและคนรู้จักเยอะ น่าจะเป็น AddVentures ซึ่งเป็นงานที่ดูแลเรื่องการลงทุนและการเงินพร้อมกันของเอสซีจี ถือเป็นโอกาสดีเพราะได้ทำงานกับ ZERO TO ONE ซึ่งเป็น Startup Studio คนทุก BU สุดท้ายเมื่อสิ้นปีที่แล้ว ก็กลับมาที่ SCGP ในตำแหน่ง Global Foodservice
Packaging Head”
Understand the mode
พี่จาชเริ่มต้นในเรื่องนี้ว่า ความเข้าใจและการผสมผสานโหมดการทำงานให้ดี เป็นเรื่องที่จำเป็น “ถ้าอยู่ในโหมด Execution ทุกอย่างจะต้องเป๊ะ เพราะตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันยังมีอีกโหมดที่เรียกว่า Exploration โหมดนี้ผลที่ได้อาจไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เน้น Improvement และ Test-and-Learn ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
การจัดทีมก็จะจัดแบ่งเป็นทีมเล็ก ๆ หลาย ๆ ทีม ให้มีความคล่องตัว แต่ละทีมจะมีความหลากหลาย ทั้งเพศ วัย และความเชี่ยวชาญ ยิ่งหลากหลายยิ่งดี พอมารวมตัวกันจะเกิดบรรยากาศการทำงานที่ดี เพราะทุกคนอยากฟังว่าคนอื่นจะแชร์อะไรและสร้างแรงบันดาลใจให้กันและกันในการวัดผล พี่จาชเน้นไปที่เรื่อง OKRs
(Objectives & Key Results) ด้วย อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ คือ ใช้ KPI วัดผลทั้งระยะสั้นและยาว ในระยะยาวรู้ว่าปีนี้ต้องทำอะไร ไตรมาสนี้จะทำอะไร จากนั้นแผนระยะสั้นจะรู้ว่าในแต่ละสัปดาห์ ทำได้ตรงตามที่วางแผนไว้หรือไม่
“สุดท้ายคือการจัดการ Project Management สำคัญมาก จะเป็นโปรเจกต์หรือเป็นโปรแกรมก็ว่าไป อันที่จริงเรื่องต่าง ๆ มันไม่ได้ซับซ้อน แค่สื่อสารกันให้มาก ๆ ส่วนอีกเรื่องที่อยากจะเน้นคือ การร่วมมือกัน หลักการง่าย ๆ คือ ถ้าเรื่องไหนเราเก่งเราก็ทำ เรื่องไหนเราไม่เก่งก็ให้คนที่เก่งกว่าเข้ามาช่วย”
Grow the top line
นอกจากเรื่องแนวคิดในการทำงานที่ผ่านมาแล้ว Merger and Partnership (M&P) เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราชวนพี่จาชคุยนอกจากธุรกิจ สิ่งที่ได้รับจากการ M&P คือวัฒนธรรมและพฤติกรรมผู้บริโภคที่แตกต่าง ไปจนถึงบางเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ แต่พี่จาชก็ยังมองว่าเป็นความท้าทายที่ดี
“การ M&P คือการที่เรามองเขาเป็นพาร์ตเนอร์ที่ต้องร่วมมือกัน ไม่ได้มองว่าเราไปซื้อเขา ฉะนั้นการมองว่าเขาเก่งในสิ่งที่เขาทำ เป็นเรื่องที่ถูกต้องเขาเก่งเรื่องไหนให้เขาทำไป ส่วนเราเติมเรื่องไหนได้ก็เติมเข้าไป เพราะเป้าหมายของ M&P คือการ Grow the top line ต้องให้ความสำคัญกับ Integration และ Synergy Project มีหลายเรื่องที่ตอนนี้ไทยทำได้ หรือถ้าอยากจะลองไปฝั่งยุโรปกับอเมริกาก็ลองได้ หรือบางอย่างที่เราไปเห็นมา และอยากเอามาทำที่ไทยเราก็ทำได้ แนวคิดนี้ใช้ได้กับทุกหน่วยงานของเราเลยนะ”
แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การทำความเข้าใจและเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับภูมิภาคนั้น ๆ รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค พี่จาชขยายความ
“พี่ได้โจทย์มาให้ดูทางยุโรปกับอเมริกา ซึ่งผู้บริโภคมีพฤติกรรมหลายอย่างที่ไม่เหมือนคนไทยบางอย่างอาจนำมาประยุกต์ใช้ที่ไทยได้ในขณะที่บางอย่างต้องแยกกัน โดยรวมแล้วพี่ว่า Very excited เขาช่วยเราบ้าง เราช่วยเขาบ้าง คงจะได้เรียนรู้ไปด้วยกัน”
SCGP ทุกคนเป็นฟันเฟืองที่สำคัญ
ก่อนจะจบบทสนทนาในครั้งนี้ เราอดที่จะถามไม่ได้ถึงการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน SCGP ให้ก้าวไปได้ไกล เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน “เราต้องพยายามพัฒนาในเรื่องที่ตัวเองทำถือเป็นโจทย์เบอร์หนึ่งเลย เพราะทุกคนเป็นฟันเฟืองที่สำคัญ ฉะนั้น Do the Best You Can ส่วนสิ่งสุดท้ายถ้ามีได้จะดีมากนั่นคือ มีความรู้สึกร่วมในการเป็นเจ้าของธุรกิจหรือมีความคิดแบบผู้ประกอบการ ที่อยากฝากไว้คงมีเท่านี้ ที่เหลือ
ก็แค่ Have Fun และ Enjoy the Challenges!”
4 Ways to Improve Yourself
Read
ว่ากันว่าหนึ่งในวัตถุดิบที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่เสพกันอยู่เป็นประจำคือ การอ่านพี่จาชก็เช่นกัน
“พี่เป็นคนที่ชอบอ่านบทความ บางครั้งก็อ่านแบบเชิงวิชาการบ้าง เพราะอะไรก็ตามที่อยู่ใน Area ของเรา
เราต้องรู้งว่าวงการที่เราอยู่มีอะไรเจ๋ง และอ่านอย่างอื่นด้วยเพื่อเปิดหูเปิดตา”
Mentor
นอกจากสารตั้งต้นอย่างหนังสือแล้ว การมี Mentor ที่ดีก็เป็นสิ่งจำเป็น “พี่มองว่าการมี Mentor นี่โคตรดี คือคน ๆ นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าก็ได้ อาจเป็นคนที่อยู่เลเวลเดียวกันหรือคนที่มีประสบการณ์มากกว่าคุณ หรืออาจเป็นรุ่นพี่ที่นับถือ แค่เดินไปพูดว่า ‘พี่ ผมขอกินข้าวกับพี่เดือนละครั้งได้ไหม?’ ง่ายมากเลยนะ อันนี้พี่ว่าดี”
Can-do
แต่ถ้าจะให้ดี คนทำงานยุคนี้ควรมีวิธีคิดแบบ Can-do “จะทำอะไรก็ยกมือเลย ผมขอทำอันนี้ครับ ผมอยากลองนั่นนี่ ‘What’s the worst that could happen?’ เชื่อเถอะว่าพี่ ๆ เขาไม่ยอมให้คุณ Fail กันแบบ
ระเบิดเถิดเถิงหรอก จะมีคนช่วยข้าง ๆ อยู่แล้ว”
Small change add up really fast
“มีคำพูดหนึ่งจากเจ้านายเก่าซึ่งพี่ชอบมาก ‘Small change add up really fast’ คิดง่าย ๆ ถ้าทำทุกอย่าง
ร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกวัน ถึงวันหนึ่งเพิ่มเป้าหมายใหม่ นิดหนึ่งก็จะกลายเป็น 101 เปอร์เซ็นต์ หนึ่งเปอร์เซ็นต์นั้นจะเพิ่มขึ้นในทุกวัน และ 1 ปี มันจะกลายเป็น 38 เท่า”