บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (“SCGP” หรือ “บริษัทฯ) ถือเป็นหนึ่งใน IPO ของปี 2563 ที่น่าจับตาอย่างมาก เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตและความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจที่โดดเด่น
SCGP นั้นเป็นบริษัทในบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (“SCC”) ซึ่งไม่ได้มีเพียงผลิตภัณฑ์ซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้งอีกด้วย
ธุรกิจแพคเกจจิ้งใน SCC มีการเติบโตที่โดดเด่นมาอย่างต่อเนื่อง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะทำความรู้จักกับ SCGP ให้มากขึ้นก่อนที่เราจะเข้าไปซื้อหุ้น
เราลองมาดูภาพรวมของธุรกิจกันก่อนครับว่ามีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง
6 เรื่องต้องรู้ก่อนลงทุนหุ้น SCGP
-
เป็นผู้นำธุรกิจบรรจุภัณฑ์ระดับอาเซียน
SCGP เป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจรขนาดใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในปี 2562 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 89,070 ล้านบาท และสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2563 รายได้จากการขายอยู่ที่ 45,903 ล้านบาท!
โครงสร้างรายได้ของ SCGP ประกอบไปด้วย 2 สายธุรกิจหลัก
- สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) มีผลิตภัณฑ์หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ประกอบด้วย
- บรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ (Fiber-based Packaging)
- กระดาษบรรจุภัณฑ์ (Packaging Paper)
- บรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ (Performance and Polymer Packaging)
- สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibrous Chain) ประกอบด้วย
- ผลิตภัณฑ์ภาชนะบรรจุอาหาร (Food Service Products)
- ผลิตภัณฑ์เยื่อและกระดาษ (Pulp and Paper Products)
SCGP มีกลุ่มลูกค้าที่กระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารแช่แข็งและอาหารบรรจุกระป๋อง สินค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุตสาหกรรม
จุดเด่นของ SCGP คือการมีสินค้าและบริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนากว่าปีละ 500 ล้านบาทต่อปี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
- สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) มีผลิตภัณฑ์หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ประกอบด้วย
-
กลยุทธ์ในประเทศและต่างประเทศ
SCGP เริ่มต้นจากการทำธุรกิจเยื่อกระดาษตั้งแต่ปี 2518 ต่อมาก็ได้ขยายธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น รวมถึงการควบรวมกิจการทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2558 ได้ปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจและพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน)
ปัจจุบัน SCGP มีโรงงานใน 5 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน คือ ประเทศไทย มียอดขายภายในประเทศร้อยละ 52 และอีกร้อยละ 48 เป็นรายได้จากธุรกิจในต่างประเทศ
SCGP มุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องผ่านการขยายกำลังการผลิต (Organic Growth) และการควบรวมกิจการ (Inorganic Growth) ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ทำให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งจากการผนึกกำลังร่วมกัน (Synergy) ที่มีประสิทธิภาพ
- ขยายฐานลูกค้าออกไปได้กว้างมากขึ้น
- เพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองผู้บริโภคและลูกค้าทุกอุตสาหกรรม
- ประหยัดเวลาในการสร้างธุรกิจใหม่ สามารถรับรู้รายได้และกำไรในทันที
และในส่วนของการเติบโตผ่านการขยายกำลังการผลิตนั้น SCGP ได้เพิ่มสัดส่วนการขายในหมวดอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตสูงตาม Mega Trend ให้มากขึ้น เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจการบริการด้านอาหาร และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
-
โอกาสเติบโตของ SCGP
- การเติบโตของบรรจุภัณฑ์ถือเป็น Mega Trend หนึ่งของโลก ซึ่งมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะ E-commerce, Food Delivery และ Healthcare โดยจากข้อมูลของ Frost & Sullivan พบว่ามูลค่าตลาด E-commerce (มูลค่าสินค้าทั้งหมด) ในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ ในปี 2562-2567 สามารถเติบโตได้ถึงประมาณร้อยละ 23.8 ต่อปี
- นอกจากนี้ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ ยังมีแนวโน้มในการเติบโตของการบริโภคภาคครัวเรือนในอัตราที่สูงขึ้น โดยจากการคาดการณ์ของ Frost & Sullivan พบว่าประเทศทั้ง 4 จะมีจำนวนประชากรรวมกันมากถึง 570.6 ล้านคน ในปี 2567 รวมทั้งคาดการณ์การบริโภคในครัวเรือนทั้งหมดในประเทศดังกล่าวว่า จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 6.4 ในระหว่างปี 2562-2567 สอดคล้องกับอัตราการใช้บรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนที่คาดว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีก
- ปัจจุบันเป็นยุคที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มใส่ใจในผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น การที่ SCGP ยึดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ทำให้มีการใช้ทรัพยากรและวัตถุดิบได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
-
IPO เพื่อสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจ
การเข้า IPO จะทำให้ SCGP สามารถขยายธุรกิจได้อย่างเต็มรูปแบบมากยิ่งขึ้น ผ่านการขยายกำลังการผลิต ทั้งในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย ซึ่งจะเสริมศักยภาพให้ธุรกิจของ SCGP มีความครบวงจร และสามารถเติบโตไปกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียน
สำหรับการ IPO นั้น หุ้นของ SCGP จะเข้ามาเป็นหุ้นจดทะเบียนในตลาด SET หมวดสินค้าอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะมีจำนวนหุ้นเพิ่มทุนคิดเป็นร้อยละ 26.5 ของจํานวนหุ้นสามัญที่ออกและชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ หลัง IPO (ไม่รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัทฯ ในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
-
ความเสี่ยง
อุตสาหกรรมนี้ยังสามารถเติบโตตามการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ ทั้งนี้อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์เป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงในด้านคุณภาพของสินค้าและบริการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า ความเสี่ยงคือธุรกิจต้องมีจุดเด่นทางด้านอื่นที่เหนือคู่แข่ง ซึ่ง SCGP ได้ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้น Customer-Centricity หรือการดำเนินงานโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ด้วยการพัฒนานวัตกรรมสินค้า รวมถึงบริการและโซลูชันที่ครอบคลุมและตอบโจทย์การใช้งานบรรจุภัณฑ์ซึ่งสร้างความโดดเด่นและแตกต่างไม่เหมือนใครให้แก่ลูกค้าและผู้บริโภค นอกจากนี้ SCGP ยังมีความแข็งแกร่งเรื่องช่องทางการจัดจำหน่าย นวัตกรรมสินค้าและบริการ การกระจายความเสี่ยงไปในหลายประเทศ หลายอุตสาหกรรม และหลายประเภทสินค้า ทั้งหมดเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงเหล่านี้ลดลง
-
ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ผลการดำเนินที่ผ่านมาถือว่า SCGP สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร โดยภาพรวมล่าสุดในงวดครึ่งปีแรก SCGP มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 45,903 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,636 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญก็มาจากการควบรวมกิจการและยอดขายบรรจุภัณฑ์ของกลุ่ม E-commerce, Food Delivery ผลิตภัณฑ์อาหารส่งออก สินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ
สัดส่วนรายได้
- ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร : ร้อยละ 84.0
- ธุรกิจเยื่อและกระดาษ : ร้อยละ 16.0
รายได้จากการขาย
- ปี 2559 : 74,542 ลบ.
- ปี 2560 : 81,455 ลบ.
- ปี 2561 : 87,255 ลบ.
- ปี 2562 : 89,070 ลบ.
- ครึ่งปีแรก 2563 : 45,903 ลบ.
กำไรสุทธิ
- ปี 2559 : 3,285 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 4.4)
- ปี 2560 : 4,425 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 5.4)
- ปี 2561 : 6,065 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 6.9)
- ปี 2562 : 5,269 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 5.9)
- ครึ่งปีแรก 2563 : 3,636 ลบ. (อัตรากำไรร้อยละ 7.9)
เรามารอดูวัน IPO กันครับว่าราคาหุ้นจะเป็นเท่าไหร่
หมายเหตุ บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำหรือแนะนำให้ซื้อ ถือหรือขายหุ้นแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
รายละเอียดเพิ่มเติม
https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=282407&lang=th
https://scgp.listedcompany.com/misc/mdna/20191231-scgp-mdna-fy2019-th.pdf
https://investor.scgpackaging.com/th