SCGP Newsroom

“ตลาดนำ- นวัตกรรมเสริม” โอกาสสร้างรายได้ยั่งยืน “ไม้เศรษฐกิจโตเร็ว”

ในงานเสวนาวิชาการเรื่อง “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ ด้วยไม้เศรษฐกิจโตเร็ว” จัดขึ้น ณ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ เครือข่ายการปลูกและการจัดการไม้เศรษฐกิจโตเร็ว ที่ร่วมเสวนา ต่างประสานเสียงตรงกันว่า “ไม้เศรษฐกิจโตเร็ว” (อายุรอบตัดไม่เกิน 7 ปี อัตราเติบโตเส้นผ่าศูนย์กลาง มากกว่า 1.5 เซนติเมตรต่อปี) ยังเต็มไปด้วยประโยชน์ และโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับผู้ปลูก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย และผู้คนในห่วงโซ่อุปทาน จากความต้องการทางการตลาดที่มีอยู่มากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกระแสแรงในขณะนี้คือการนำมาแปรรูปเป็น “สินค้ารักษ์โลก” ทดแทนการใช้วัตถุดิบที่มีฐานมาจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ตามเมกะเทรนด์ลดโลกร้อน ที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค และกติกาการค้าโลกให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม การจะประสบความสำเร็จในการดำเนินการดังกล่าวได้นั้น จำเป็นที่จะต้องใช้ “การตลาดนำ” และ “นวัตกรรมเสริม” นั่นคือ การปลูกไม้เศรษฐกิจโตเร็วให้ตรงตามความต้องการของตลาดในปัจจุบันและอนาคต โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปเสริม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้ได้คุณภาพที่ตลาดต้องการ โดยเฉพาะยูคาลิปตัส และยางพารา ซึ่งเป็นสองไม้เศรษฐกิจโตเร็วที่ขับเคลื่อนตลาดไม้เศรษฐกิจโตเร็วในไทยอยู่ในขณะนี้ ทำให้ “ผลตอบแทนการลงทุน” สูงขึ้น เมื่อเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ย่อมเกิดแรงจูงใจในการขยายพื้นที่ปลูกมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีพื้นที่ปลูกไม้เศรษฐกิจโตเร็วทั่วประเทศไม่เกิน 5 ล้านไร่  และทำให้เกิด “การลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง” ตามมา

นายมหาศาล ธีรวรุตม์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสยามฟอเรสทรี จำกัด ใน SCGP ผู้ส่งเสริมปลูกไม้ยูคาลิปตัส ตรา คู่ดิน by SCGP สะท้อนศักยภาพไม้เศรษฐกิจโตเร็วว่า ปัจจุบันตลาดไม้เศรษฐกิจโตเร็วมีการใช้ประโยชน์ที่หลากหลายมากขึ้น จากการนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรป เช่น ชาม ช้อน ส้อมที่ผลิตจากไม้ เสื้อผ้าที่ผลิตจากเยื่อไม้ ขวดน้ำที่ผลิตจากเยื่อไม้แทนขวดพลาสติก PET หลังคาที่ใช้เยื่อไม้เป็นวัตถุดิบในการผลิต (Wood for construction) รวมถึงการนำเยื่อไม้มาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตยา เป็นต้น และเห็นว่ายังมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็น “Bio-based” อื่นๆ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง  

“ที่ผ่านมาบริษัทฯ ทำเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ยูคาลิปตัสอย่างต่อเนื่อง ให้มีคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อพืชต่าง ๆ ที่ปลูกร่วมกัน และให้เหมาะสมกับภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และฤดูกาลต่าง ๆ ในประเทศไทย ส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยปลูกต้นกล้ายูคาลิปตัสก่อนจะรับซื้อคืนเพื่อนำมาเข้าสู่โรงงานผลิตเยื่อในกลุ่มบริษัท โดยเห็นว่ายูคาลิปตัส ถือเป็นไม้เศรษฐกิจโตเร็วที่เป็นไม้หลักของไทย โดย 70-80% ปลูกจากเกษตรกรรายย่อย ที่มีพื้นที่ 5-10 ไร่ จึงถือเป็นความท้าทายที่จะเพิ่มพื้นที่การปลูกเป็นแปลงใหญ่ที่มีพื้นที่ 50 ไร่ขึ้นไป เพื่อทำให้เกิด Economy of scale”    

ทั้งนี้เห็นว่า ภาครัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกัน “ส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจโตเร็ว” ให้มากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการใช้ประโยชน์ที่มากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการกำหนดโซนนิ่งพื้นที่การใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อปลูกไม้เศรษฐกิจโตเร็ว การออกกฎหมายที่สนับสนุนการใช้ประโยชน์ไม้มากขึ้น เช่น ลดภาษี หรือให้แรงจูงใจอื่น ๆ  การสร้างความเข้าใจ และการรับรู้ประโยชน์จากการปลูกไม้เศรษฐกิจโตเร็วว่าการใช้ผลิตภัณฑ์จากไม้ไม่ได้เป็นการทำลายป่า แต่ยิ่งช่วยสร้างป่าให้เพิ่มขึ้น (ยิ่งใช้ยิ่งปลูก) การสร้างความร่วมมือในการพัฒนาสายพันธุ์ร่วมกับภาครัฐ และการผลักดันโครงการปลูกไม้เศรษฐกิจโตเร็วร่วมกับพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ (วนเกษตร) เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดในการใช้พื้นที่ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เสริมระหว่างรอรอบตัดไม้เศรษฐกิจโตเร็ว  

นายประมวล ประทุม ที่ปรึกษาบริษัท สยามทรีดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด ระบุว่า ยูคาลิปตัสยังมีตลาดที่ชัดเจน แต่ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ผลผลิตต่อไร่จึงจะสูงขึ้น และต้องพัฒนาการใช้ประโยชน์ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มมูลค่าของไม้ยูคาลิปตัส
“บางคนบอกว่ายูคาลิปตัสไม่มีอนาคต ไม่จริง อยู่ที่การดูแลพื้นที่มากกว่า อย่ามองยูคาลิปตัสไม่ดี ทั้งที่จริง ๆ ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้  ต้องปรับมุมมองไปที่การบริหารจัดการ ตอนนี้ภาพรวมการใช้ไม้ยูคาลิปตัสในไทยอยู่ที่ 5-6 ล้านตันต่อปี มีการส่งออกไปที่ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน อินโดนีเซีย ปี 2566 มีการส่งออก 5.17 ล้านตัน” 
นายวัฒนพงศ์ ทองสร้อย ผู้แทนสมาคมการค้าชีวมวลไทย เผยถึงสถานการณ์ไม้พลังงานว่า ในระยะยาวตลาดไม้พลังงานในไทย ซึ่งปัจจุบันมากกว่า 50% เป็นไม้ยางพารา จะถูกขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายความเป็นกลางด้านคาร์บอน (Carbon neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ซึ่งเป็นเป้าหมายระดับโลกเพื่อลดการใช้ฟอสซิล จึงเป็นโอกาสในการขยายตลาดไม้พลังงาน ซึ่งไทยมีจุดแข็งเนื่องจากมีวัตถุดิบค่อนข้างมาก และเป็นพื้นที่โซนร้อนทำให้ไม้โตเร็ว 
อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการปลูกและการตลาดที่ดี โดยต้องปลูกในพื้นที่แปลงใหญ่ ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนสูงสุดถึง 20% และควรมีการพัฒนาไปพร้อมกันระหว่างผู้ปลูก ผู้แปรรูป และผู้ส่งออก ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์ต้องหลากหลาย และมีงานวิจัยรองรับในหลากมิติมากขึ้น เช่น มิติด้านการโลจิสติกส์
นายสำราญ หาญทะเล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มกิตติวนา มองว่า การปลูกไม้เศรษฐกิจโตเร็วเป็นการสร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่เกษตรกร และทำให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากไม้ที่หลากหลายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังเห็นว่าปัจจุบันได้พัฒนาสายพันธุ์ยูคาลิปตัสอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นเป็น 20-25 ตัน โดยใช้เวลาปลูก 4 ปีครึ่ง ไม่เหมือนยูคาลิปตัสสายพันธุ์ดั้งเดิม (เพาะเมล็ด) ที่ให้ผลผลิตต่อไร่เพียง 8-10 ตัน และต้องใช้ระยะเวลาปลูกนานถึง 8-10 ปี ดังนั้นสายพันธุ์ที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดจึงเป็นสิ่งที่คนในอุตสาหกรรมนี้ต้องไม่มองข้าม   

นายประจักษ์ รื่นฤทธิ์ ผู้แทนจากบริษัท SilviCarbon Agroforestry จำกัด ให้ทัศนะว่า การปลูกไม้เศรษฐกิจโตเร็วที่เหมาะสมสำหรับผู้ปลูกและผู้นำไม้ไปแปรรูปนั้น จำเป็นต้องใช้นวัตกรรมด้านต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงพัฒนาและคัดเลือกพันธุ์ การผลิตกล้าไม้ การปลูกดูแลรักษา การใช้ประโยชน์ไม้ การตลาด และภาคการเงิน ซึ่งต้องมีการพัฒนาทุก ๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง

รศ.ดร.นพรัตน์ คัคคุริวาระ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มองว่าเทคโนโลยีในการปลูกและจัดการไม้เศรษฐกิจโตเร็วควรต้องตอบโจทย์ผู้ปลูก โดยผู้ปลูกไม้เศรษฐกิจโตเร็วในไทยมากกว่า 70% เป็นเกษตรกรรายย่อย ดังนั้นเทคโนโลยีจะต้องเข้าถึงง่าย สะดวกต่อการใช้งาน มีขนาดเล็ก เคลื่อนย้ายง่าย และราคาเข้าถึงได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการจัดการป่าเศรษฐกิจโตเร็วในวงกว้าง 

นายณัฐณรงค์ เอี่ยมมี ผู้จัดการบริษัททรีเทคโนโลยี จำกัด เสนอแนะว่า การปลูกยูคาลิปตัสบนคันนาเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร โดยคันนาที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จำนวนมาก หากปรับให้กว้าง 1.5-3 เมตร แล้วปลูกไม้เศรษฐกิจโตเร็วบนคันนา 80-200 ต้นต่อไร่ เวลา 6 ปี เกษตรกรจะสร้างรายได้ไร่ละ 24,000-40,000 บาท  อย่างไรก็ตามต้องดูแลและจัดการอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้คุณภาพตามความต้องการของตลาด ดังนั้นเห็นว่าการสนับสนุนเชิงนโยบายจากภาครัฐมีความสำคัญ อาทิ การสนับสนุนทางการเงิน และองค์ความรู้ด้านการจัดการไม้เศรษฐกิจโตเร็วเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

และทั้งหมดนี้คือการสะท้อนศักยภาพของไม้เศรษฐกิจโตเร็วจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากเครือข่ายการปลูกและการจัดการไม้เศรษฐกิจโตเร็ว ที่ต่างมองเห็น “โอกาส” ในการพัฒนาไม้เศรษฐกิจโตเร็ว ทั้งในด้านการขยายพื้นที่ปลูกเป็นแปลงใหญ่ ใช้การตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพื่อให้ไม้เศรษฐกิจโตเร็วมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้นในอนาคต

Leave a comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *