ทุกวันนี้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เข้ามามีบทบาทในหลายองค์กร ส่งผลให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเรียบเรียงข้อมูล การนำเสนอบทความด้วยภาษาสละสลวย มีวรรณศิลป์ใกล้เคียงกับมนุษย์ การช่วยวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ได้ตรงจุด และการให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
ทุกวันนี้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เข้ามามีบทบาทในหลายองค์กร ส่งผลให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเรียบเรียงข้อมูล การนำเสนอบทความด้วยภาษาสละสลวย มีวรรณศิลป์ใกล้เคียงกับมนุษย์ การช่วยวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ได้ตรงจุด และการให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
มนุษย์จึงเริ่มจับตามองพัฒนาการของ AI ทั้งยังกังวลว่า เทคโนโลยีอันชาญฉลาดเหล่านี้จะเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ในที่สุด แต่เมื่อเราหันมาทำความรู้จักและทดลองใช้งาน จะเริ่มเห็นว่า AI เป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาช่วยเสริมในสิ่งที่มนุษย์ขาดไป และร่วมทำงานเสมือนพาร์ตเนอร์คนสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
การจะทำให้คนผสานการทำงานกับ AI ได้ดี ต้องคำนึงถึง 3 ส่วนหลัก คือ มนุษย์ (คนทำงาน) ต้องมีส่วนร่วมพัฒนาศักยภาพของ AI AI ที่ถูกพัฒนาขึ้นต้องเข้ามาเสริมศักยภาพการทำงานของมนุษย์ได้จริง และสุดท้ายองค์กรต้องพร้อมปรับตัว เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งมนุษย์และ AI สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร
การสร้าง “ดิจิทัลพาร์ตเนอร์” เพื่อคนทำงาน
มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า บริษัทกว่า 1,500 แห่ง มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น เมื่อมนุษย์และเทคโนโลยี AI ทำงานร่วมกัน ดังนั้น องค์กรและมนุษย์ที่เป็นคนทำงานควรมีส่วนสนับสนุนการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างสรรค์ “ดิจิทัลพาร์ตเนอร์” ที่จะมาช่วยให้งานมีประสิทธิภาพกว่าเดิม และสามารถทำงานร่วมกันในองค์กรได้อย่างมีความสุข ดังนี้
มนุษย์
การสอนความเป็นมนุษย์ให้แก่ AI เราต้องฝึกป้อนข้อมูลให้เทคโนโลยีมีกระบวนการคิดแบบมนุษย์ เพื่อให้ถ่ายทอดข้อมูลต่าง ๆ ออกมาเสมือนมาจากความคิดและความรู้สึกแบบเดียวกับมนุษย์ให้ได้มากที่สุด
AI
การช่วยวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างแม่นยำขึ้น ภายใต้ฐานข้อมูลที่มีการคาดการณ์และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างน่าเชื่อถือ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้ดีกว่าเดิม จะช่วยยกระดับการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และสินค้า นำไปสู่การพัฒนาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
องค์กร
มีความยืดหยุ่น สามารถเปลี่ยนแผนการทำงานได้รวดเร็ว ไม่ยึดติด และต้องเปิดกว้างกับการนำเทคโนโลยีมาเสริมศักยภาพคนทำงานอย่างจริงใจ
ตัวอย่างการนำ AI มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น การนำ ChatGPT, Gemini, Jasper, Quillbot มาประยุกต์ใช้ในงาน การใช้ Robots และ Autonomous System เพื่อใช้งานในไลน์ผลิตสินค้าและบริการ หรือการพัฒนาด้าน Quantum Computing เพื่อประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล และการส่งเสริม Green & Sustainable Technology เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเทรนด์โลกยุคใหม่ ซึ่งผู้คนหันมาใส่ใจกับประเด็นสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีดิจิทัลอื่น ๆ เช่น IoT, Data Science, VR และ Cloud Computing รวมถึงการฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อน ความฉลาดทางอารมณ์ ทักษะด้าน Machine Learning เข้าใจการทำงานของอัลกอริทึมต่าง ๆ และทักษะด้าน Computer Vision สอนให้ AI เข้าใจข้อมูลภาพและวิดีโอ เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบได้กับทักษะที่ AI จะต้องมีและจำเป็นต้องใช้งาน ดังนั้น มนุษย์เราในฐานะพาร์ทเนอร์ของ AI ก็จำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจทักษะดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ในฐานะคนทำงานยุคใหม่ เราต้องมอง AI และเทคโนโลยีดิจิทัลด้วยมุมมองใหม่ว่า สิ่งเหล่านี้กำลังจะเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมงานของเรา เพราะพวกเขาสามารถช่วยลดภาระดิจิทัล (Digital Debt) หมายถึง ภาระที่เกิดจากการเก็บสะสมข้อมูลที่มีมากเกินกว่าความสามารถในการจัดการและประมวลผลของมนุษย์ หากเราต้องใช้พลังงานไปกับเรื่องเหล่านี้มาก ๆ จะทำให้ความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพในการทำงานลดลงไปด้วย ดังนั้น การได้ AI มาเป็นพาร์ตเนอร์ (คนรู้ใจ) ของคนทำงานยุคใหม่ จะช่วยเติมเต็มศักยภาพการทำงานของมนุษย์ให้ดีเหนือมาตรฐานมากขึ้น
ที่มา: A LOT Vol.33