SCGP Newsroom

63

ข่าว

ดิจิทัลพาร์ตเนอร์ (คนรู้ใจ) ของคนทำงานยุคใหม่

Loading Data...

ทุกวันนี้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เข้ามามีบทบาทในหลายองค์กร ส่งผลให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเรียบเรียงข้อมูล การนำเสนอบทความด้วยภาษาสละสลวย มีวรรณศิลป์ใกล้เคียงกับมนุษย์ การช่วยวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ได้ตรงจุด และการให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

ทุกวันนี้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เข้ามามีบทบาทในหลายองค์กร ส่งผลให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเรียบเรียงข้อมูล การนำเสนอบทความด้วยภาษาสละสลวย มีวรรณศิลป์ใกล้เคียงกับมนุษย์ การช่วยวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ได้ตรงจุด และการให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

มนุษย์จึงเริ่มจับตามองพัฒนาการของ AI ทั้งยังกังวลว่า เทคโนโลยีอันชาญฉลาดเหล่านี้จะเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ในที่สุด แต่เมื่อเราหันมาทำความรู้จักและทดลองใช้งาน จะเริ่มเห็นว่า AI เป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาช่วยเสริมในสิ่งที่มนุษย์ขาดไป และร่วมทำงานเสมือนพาร์ตเนอร์คนสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในอนาคต

การจะทำให้คนผสานการทำงานกับ AI ได้ดี ต้องคำนึงถึง 3 ส่วนหลัก คือ มนุษย์ (คนทำงาน) ต้องมีส่วนร่วมพัฒนาศักยภาพของ AI AI ที่ถูกพัฒนาขึ้นต้องเข้ามาเสริมศักยภาพการทำงานของมนุษย์ได้จริง และสุดท้ายองค์กรต้องพร้อมปรับตัว เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งมนุษย์และ AI สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร

การสร้าง “ดิจิทัลพาร์ตเนอร์” เพื่อคนทำงาน

มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า บริษัทกว่า 1,500 แห่ง มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น เมื่อมนุษย์และเทคโนโลยี AI ทำงานร่วมกัน ดังนั้น องค์กรและมนุษย์ที่เป็นคนทำงานควรมีส่วนสนับสนุนการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างสรรค์ “ดิจิทัลพาร์ตเนอร์” ที่จะมาช่วยให้งานมีประสิทธิภาพกว่าเดิม และสามารถทำงานร่วมกันในองค์กรได้อย่างมีความสุข ดังนี้

มนุษย์
การสอนความเป็นมนุษย์ให้แก่ AI เราต้องฝึกป้อนข้อมูลให้เทคโนโลยีมีกระบวนการคิดแบบมนุษย์ เพื่อให้ถ่ายทอดข้อมูลต่าง ๆ ออกมาเสมือนมาจากความคิดและความรู้สึกแบบเดียวกับมนุษย์ให้ได้มากที่สุด
AI
การช่วยวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างแม่นยำขึ้น ภายใต้ฐานข้อมูลที่มีการคาดการณ์และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างน่าเชื่อถือ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้ดีกว่าเดิม จะช่วยยกระดับการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และสินค้า นำไปสู่การพัฒนาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
องค์กร
มีความยืดหยุ่น สามารถเปลี่ยนแผนการทำงานได้รวดเร็ว ไม่ยึดติด และต้องเปิดกว้างกับการนำเทคโนโลยีมาเสริมศักยภาพคนทำงานอย่างจริงใจ
ตัวอย่างการนำ AI มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น การนำ ChatGPT, Gemini, Jasper, Quillbot มาประยุกต์ใช้ในงาน การใช้ Robots และ Autonomous System เพื่อใช้งานในไลน์ผลิตสินค้าและบริการ หรือการพัฒนาด้าน Quantum Computing เพื่อประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล และการส่งเสริม Green & Sustainable Technology เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเทรนด์โลกยุคใหม่ ซึ่งผู้คนหันมาใส่ใจกับประเด็นสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีดิจิทัลอื่น ๆ เช่น IoT, Data Science, VR และ Cloud Computing รวมถึงการฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อน ความฉลาดทางอารมณ์ ทักษะด้าน Machine Learning เข้าใจการทำงานของอัลกอริทึมต่าง ๆ และทักษะด้าน Computer Vision สอนให้ AI เข้าใจข้อมูลภาพและวิดีโอ เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบได้กับทักษะที่ AI จะต้องมีและจำเป็นต้องใช้งาน ดังนั้น มนุษย์เราในฐานะพาร์ทเนอร์ของ AI ก็จำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจทักษะดังกล่าวด้วยเช่นกัน

ในฐานะคนทำงานยุคใหม่ เราต้องมอง AI และเทคโนโลยีดิจิทัลด้วยมุมมองใหม่ว่า สิ่งเหล่านี้กำลังจะเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมงานของเรา เพราะพวกเขาสามารถช่วยลดภาระดิจิทัล (Digital Debt) หมายถึง ภาระที่เกิดจากการเก็บสะสมข้อมูลที่มีมากเกินกว่าความสามารถในการจัดการและประมวลผลของมนุษย์ หากเราต้องใช้พลังงานไปกับเรื่องเหล่านี้มาก ๆ จะทำให้ความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพในการทำงานลดลงไปด้วย ดังนั้น การได้ AI มาเป็นพาร์ตเนอร์ (คนรู้ใจ) ของคนทำงานยุคใหม่ จะช่วยเติมเต็มศักยภาพการทำงานของมนุษย์ให้ดีเหนือมาตรฐานมากขึ้น

ที่มา: A LOT Vol.33

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Loading Data...