36
ณ เวลานี้โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตท้าทายจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง องค์กรธุรกิจ ต่าง ๆ ทั่วโลก ต่างตระหนักถึงความสำคัญของประเด็นดังกล่าว จึงหันมาดำเนินธุรกิจด้วยการปรับกลยุทธ์ และแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับ หลัก ESG (Environmental, Social and Governance) หรือ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
เช่นเดียวกันกับ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP บริษัทด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์แนวหน้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ ESG อย่างจริงจังโดย ‘วิชาญ จิตร์ภักดี’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจีแพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ฉายภาพให้เห็นถึงแผนการดำเนินงานของSCGP ว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวต่อเนื่อง เนื่องจาก ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ภาคการผลิต การส่งออกการท่องเที่ยวของไทยที่ดี ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น โดยธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร มียอดขายเติบโตทุกกลุ่มสินค้า และเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของบรรจุภัณฑ์สินค้าคงทน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ขณะที่ธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการในประเทศ และการส่งออกในบางพื้นที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในเอเชียใต้ ส่วนธุรกิจเยื่อ และกระดาษ มียอดขายบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้น จากปัจจัยการท่องเที่ยวฟื้นตัวเช่นกัน
‘SCGP’ ได้เดินหน้า 5 กลยุทธ์หลัก เพื่อให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนได้อย่างยั่งยืน เป็นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) ประกอบด้วย
1.การขยายกำลังการผลิต จากการเติบโตตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) และใช้กลยุทธ์ควบรวมกิจการ และร่วมมือกับพันธมิตร (Merger & Partnership – M&P) ในธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโต เช่น ธุรกิจบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ฯลฯ เพื่อรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาคการผลิตและส่งออก 2.ประสบการณ์ลูกค้าและนวัตกรรม การแก้ปัญหา Pain Point ต่าง ๆ ของลูกค้า ผู้บริโภค เช่น นำนวัตกรรม อีซี่พีลมาใช้ในฝาโยเกิร์ต เปิดฝาแล้วไม่เลอะ ให้สะดวกต่อการใช้งานของผู้บริโภคมากขึ้น 3. การนำ Operational Excellence มาใช้กับ ลูกค้า ‘B2B2C’ หรือการทำธุรกิจระหว่างเจ้าของธุรกิจสู่เจ้าของธุรกิจเชื่อมต่อธุรกิจกับลูกค้า และรวมธุรกิจแบบ B2C และ B2B เข้ามาไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างธุรกิจที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น 4. ดำเนินธุรกิจด้วย ESG เช่น การนำพลาสติก PCR (Post-Consumer Recycled Resin) ที่ผ่านการใช้งานแล้ว มาใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดคงรูป เพื่อช่วยลดการสร้างพลาสติกใหม่และเกิดเป็นบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก หรือแม้แต่การผลิตกระดาษที่เป็น รีไซเคิลคอนเท็นต์ได้มากถึง 99.6% และ 5. People and Capability ส่งเสริมให้บุคลากรเพิ่มขีดความสามารถตลอดจนพัฒนาทักษะที่ส่งผล ต่อการมีสมรรถนะยอดเยี่ยมขึ้น
“เห็นได้ว่า สุดท้ายทุกอย่างขับเคลื่อนด้วย People and Capability ของคน เราทำธุรกิจใน 10 ประเทศให้สามารถเติบโตได้โดยใช้ 5 กลยุทธ์นี้ด้วยความตระหนักว่า หน้าที่ของเรา คือ การส่งมอบไลฟ์สไตล์ที่จะทำให้ผู้บริโภคสะดวกสบายขึ้น ถ้าถามว่า สินค้ามันว้าวไหม มันไม่ได้ว้าว แต่ของที่เขาใช้ เงินที่เขาจ่ายไป คือความคุ้มค่า คือการยกระดับประสบการณ์ที่ดีขึ้น”
นอกจากนี้ “วิชาญ” ยังกล่าวถึงนวัตกรรมต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า SCGP สามารถดำเนินธุรกิจได้สอดคล้องกับ ESG ในทุกมิติ เช่น ‘โซลูชันเพื่อการลดคาร์บอน’ ธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ จากองค์การบริหารจัดการ ก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งสิ้น 55 ผลิตภัณฑ์ ทั้งในกลุ่มสินค้ากระดาษม้วนประเภทกระดาษผิวกล่อง กระดาษทำลอนลูกฟูก และกระดาษกล่องขาวเคลือบ มีแผนขยายผลในปี 2567 ในการขอรับการรับรองให้ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์กระดาษบรรจุภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นกระดาษม้วนและแผ่นสำหรับ Sack Paper Plaster Liner Board Coated Duplex Board รวมทั้ง สินค้าประเภทถุงอุตสาหกรรมอีกด้วย ‘นวัตกรรมลดการใช้ทรัพยากร’ อย่างเส้นใยนาโนเซลลูโลส (Nanocellulose) เพื่ออุตสาหกรรมกระดาษและบรรจุภัณฑ์ ช่วยให้กระดาษแข็งแรงขึ้น น้ำหนักลดลง เพิ่มความต้านทานน้ำ น้ำมัน และ ก๊าซออกซิเจน ทำให้สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการปกป้อง สินค้าเพิ่มขึ้น จะส่งถึงมือผู้บริโภคได้ในสภาพที่สมบูรณ์แล้ว ยังช่วยลดการใช้พลังงานในการผลิต และเพิ่มมูลค่าให้เส้นใยจากพืช ทั้งยังช่วยลดคาร์บอนอีมิชชั่น ได้ถึง 700,000 kgCO2,Y จากการลดการนำเข้า วัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งมีตั้งแต่ ‘บรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูก Green Carton’ ที่ผลิตจากกระดาษใช้แล้วผ่านกระบวนการจัดเก็บและนำกลับมารีไซเคิล เป็นกระดาษใหม่อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดลดการใช้วัตถุดิบกระดาษ โดยยังคงคุณภาพและความแข็งแรงเทียบเท่าเดิม ช่วยลดพลังงานในการขนส่ง และลดต้นทุนการขนส่งด้วยน้ำหนักบรรจุภัณฑ์ที่เบาลง ประหยัดพลังงานในการผลิต 42.38 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อตัน และลดการใช้กระดาษได้มากกว่า 25 กรัมต่อตารางเมตร ในแต่ละรุ่นของสินค้าโดยที่ผ่านมา ช่วยลด CO2 193,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยลดการตัดต้นไม้ประมาณมากถึง 5 ล้านต้น
‘บรรจุภัณฑ์ Mix in the bag spout pouch’ อำนวยความสะดวกในการใช้งาน ใช้งานง่าย และมีปริมาณพอดีกับความต้องการในการใช้ 1 ครั้ง สามารถลดขยะเหลือทิ้งได้เป็นขยะจำนวนมาก รวมถึง ‘บรรจุภัณฑ์ Light-Weight and High-Strength Paper’ ที่พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีการบดเยื่อช่วยให้เส้นใยเกิด Fibrilization และเทคโนโลยีทาง Chemical ด้วยการปรับปรุงคุณสมบัติของกระดาษที่พัฒนาให้ยังคงคุณสมบัติด้านความแข็งแรงได้ตามมาตรฐานของสินค้าเดิม ทำให้ช่วยลดปริมาณการใช้เยื่อที่เป็นวัตถุดิบหลักในกระบวนการผลิตสินค้าลงอย่างน้อย 5% เทียบกับสินค้าเดิม
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมี ‘นวัตกรรมจากวัสดุรีไซเคิล’ อย่างเม็ดพลาสติก รีไซเคิลจากกระบวนการผลิตกระดาษรีไซเคิล สามารถใช้ประโยชน์จากเศษพลาสติกที่เป็นวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการรีไซเคิล และเพิ่มมูลค่า ด้วยการนำมาผลิตเป็นสินค้าใหม่ ทั้งยังเป็นเม็ดพลาสติกทางเลือกของผู้ประกอบในการผลิตสินค้า ที่สามารถลดต้นทุนในการผลิต โดยเริ่มทดลองผลิตที่ Fajar member of SCGP ประเทศอินโดนีเซียเป็นที่แรกและขยายผลไปยัง Dayasa member of SCGP ประเทศอินโดนีเซียและ SCGP โรงงานวังศาลา ประเทศไทย โดยมีกำลังผลิตเม็ดพลาสติก รีไซเคิลมากถึง 26,000 ตันต่อปี
รวมถึง ‘นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมารีไซเคิลได้’ มีตั้งแต่นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ฟิล์มชนิดเดียวกันมาประกบกัน (Mono-material) มีคุณสมบัติในการปกป้องสินค้าภายในได้ใกล้เคียงเดิม สามารถนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ง่าย และช่วยลดการกำจัดสินค้าด้วยการฝังกลบ จึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ , บรรจุภัณฑ์กระดาษสำหรับบรรจุอาหารที่เคลือบด้วย Water based barrier coating ช่วยป้องกันการซึมผ่านของอาหารที่บรรจุได้ดี สามารถนำไปริโซเคิลได้ง่าย เนื่องจากผลิตด้วยยื่อกระดาษที่ได้รับการรับรอง FSCTM 100 %
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 23 พฤษภาคม 2567