โลกธุรกิจวันนี้แทบไม่ต่างจากการเดินอยู่บนเชือกเส้นเดียว แบรนด์ต่าง ๆ ต้องก้าวอย่างระมัดระวัง เพราะเมื่อเงินในกระเป๋าของผู้บริโภคมีไม่มากเหมือนเก่า การจับจ่ายทุกครั้งต้องวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนยิ่งขึ้น ผศ. ดร.เอกก์ ภทรธนกุล นักการตลาดผู้เฝ้าสังเกตความเป็นไปของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ใช้พื้นที่ Your Answers ฉบับนี้ ตอบคำถามที่ว่า เมื่อเงินในกระเป๋าผู้บริโภคหดตัว นักการตลาดต้อง “เปลี่ยน” แบบไหน และแบรนด์ควรปรับตัวอย่างไรให้ธุรกิจยังยืนหยัดต่อไปได้
เปลี่ยน Mindset สู่โลกกลับด้าน
เพื่อรับมือความท้าทายแบบนี้ Mindset ดูจะเป็นสิ่งสำคัญอย่างแรก ในช่วงที่เมืองข้าวยากหมากแพง ใช้เงินกันอย่างไม่คล่องมือ ฝืดเคือง อ.เอกก์มองว่า ต้องมีวิธีคิดในรูปแบบการตลาดที่พิเศษมากขึ้น โดยใช้ 4 Mindset นี้เป็นเครื่องนำทาง
เปลี่ยนเป็นเพิ่ม Value แทนลดราคา
เมื่อผู้บริโภคมองหาความคุ้มค่า การลดราคาอาจเหมือน “ลูกอมรสหวานจัด” ที่เติมความสดชื่นให้ร่างกายได้ทันที แต่กลับทำลายสุขภาพในระยะยาว สำหรับธุรกิจเองก็เช่นกัน นักการตลาดต้องไม่ลืมว่า การลดราคานั้นง่าย แต่การกลับมาขึ้นราคา หรือปรับราคาสินค้ากลับสู่ระดับปกตินั้นยากเสมอ และการลดราคานั้นอาจทำร้ายธุรกิจในระยะยาวได้เหมือนกันซึ่งความคุ้มค่านั้นสามารถสร้างได้จากหลากหลายวิธีการ โดยไม่ต้องสร้างภาพจำ เรื่องราคา และมีหลัก 6P ต่อไปนี้ที่นักการตลาดควรหยิบไปใช้
เปลี่ยนไปลงทุนกับ Data
ในยุคที่ต้นทุนทุกบาทมีความหมาย การตลาดแบบแม่นยำนั้น ต้องใช้ข้อมูลที่ลึกซึ้ง การลงทุนในกรอบของการสร้างข้อมูลลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายให้เพิ่มขึ้นหรือมีความเจาะจงมากขึ้น จะเป็นเครื่องมือเพิ่มคุณค่าให้แบรนด์ได้ อย่างไปรษณีย์ไทยที่ยอมลงทุนกับฐานข้อมูลลูกค้าปีละหลายร้อยล้าน ผลลัพธ์คือสามารถดึงลูกค้ากลับมาได้มหาศาล
การทํา Customer Data จะทำให้แบรนด์ทําการตลาดที่ลึกซึ้งได้มากขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง และเป็นการลงทุนที่ได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ตัวอย่างง่าย ๆ หากคุณมีข้อมูลลูกค้าในวันนี้ พรุ่งนี้การยิง Ads ในเฟซบุ๊กก็แม่นขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้นประเด็นเรื่องการใช้เทคโนโลยีและการตลาดดิจิทัลนั้น จะช่วยให้การขายสินค้าของแบรนด์ดีขึ้นได้ทันที
ในท้ายที่สุด แม้ว่าเศรษฐกิจวันนี้อาจจะยังฝืดเคือง แต่ต้องไม่ลืมว่าเราเคยผ่านวิกฤตโควิด 19 ที่หนักหนากว่านี้มาแล้ว แนวคิดใหม่หลายอย่างอาจจะกลับตาลปัตรจากปกติไปบ้าง แต่ก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรง ขอให้นักการตลาดเข้าใจว่า นี่คือการทดสอบแบรนด์อีกครั้งหนึ่ง และเมื่อพายุสงบลง แบรนด์ก็จะสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นได้ต่อไป